ปฏิบัติธรรมฉลองวัยเกษียณอายุราชการ รศ. พญ. พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้เขียนเข้ามาปฏิบัติธรรมเมื่อปี พ.ศ. 2537 หลังจากอาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่งเกษียณอายุราชการ และถูกหน่วยงานที่ท่านปฏิบัติงานมาตลอดปฏิเสธไม่ให้ทำงานที่ตั้งใจจะทำหลังเกษียณอายุ ผู้เขียนจึงต้องรีบหากิจกรรมทดแทนเวลาว่างที่จะถึงในบั้นปลายชีวิต ในครั้งแรกได้เข้าฝึกภาวนาแบบอานาปานสติที่สวนโมกขพลาราม การภาวนาเป็นการพักผ่อนทางจิตใจ ทำให้สดชื่นมีพลังในการทำงานทางโลกมากขึ้น ผู้เข้าอบรมเป็นกลุ่มวัยทำงานซึ่งจะไปชาร์ตแบตเตอรี่ทางจิตเมื่อว่าง ผู้เขียนจึงนิยมใช้เวลาว่าง 3- 4 ครั้งต่อปี ไปภาวนามากกว่าการไปท่องเที่ยวต่างประเทศ เริ่มเข้าใจพุทธศาสนาและอ่านหนังสือธรรมะพอรู้เรื่อง ในระยะ 3 ปีก่อนเกษียณอายุราชการ ได้เปลี่ยนมาปฏิบัติธรรมสายหลวงพ่อเทียน เป็นการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ด้วยมีคำรับรองว่าได้ผลเร็วและง่าย ผู้เขียนจึงคิดว่าน่าจะบรรลุธรรมได้ก่อนเกษียณ การปฏิบัติเป็นการยกมือเคลื่อนไหวสร้างจังหวะ แบบลืมตาและเดินจงกรม วิธีการดูแปลกๆ ไม่สงบแบบอานาปานสติ หลังจบการฝึกอบรมครั้งแรกก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าจะบรรลุธรรมได้อย่างไร การสู้กับนิวรณ์พระอาจารย์ก็เรียกง่ายๆ ว่า สู้กับตัวง่วง ตัวคิด ตัวปรุงแต่งฟุ้งซ่าน ความสงสัย โดยจากเดิมเคยอ่านในหนังสือที่ใช้เป็นภาษาบาลีว่า ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ผู้อบรมในกลุ่มเจริญสติมีหลากหลายอาชีพอายุตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงวัย ปฏิบัติร่วมกันโดยแบ่งปฏิบัติธรรมเป็นกลุ่มๆในความดูแลของพระภิกษุพี่เลี้ยง มีทางจงกรมเป็นร่องดินส่วนตัว พระอาจารย์จะเดินวนเวียนสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติอย่างใกล้ชิด ผู้เขียนได้เข้าการปฏิบัติธรรมครั้งแรกในต้นเดือนธันวาคม และอยู่จนครบ 7 วัน ไม่แหกค่ายออกก่อนกำหนด เพราะผู้เขียนเป็นคนชอบศึกษาหาความรู้ทุกรูปแบบมาตั้งแต่เด็กจึงปรับตัวได้ง่าย และด้วยลิขิตชีวิตไว้ว่าจะไปปฏิบัติธรรมในวันขึ้นปีใหม่ทุกปีจึงได้ลาพักร้อนล่วงหน้าไว้ทุกปี ดังนั้นในปลายเดือนธันวาคมปีเดียวกัน คือ พ.ศ. 2547 จึงกลับมาที่วัดป่าโสมพนัสอีกครั้ง การปฏิบัติธรรม 4 วันแรกอยู่ในวัด และเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ คือ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2548 ได้ย้ายไปปฏิบัติธรรมในอ่างเก็บน้ำชลประทานห้วยเดียก จังหวัดสกลนครต่ออีก 4 วัน โดยหัวหน้าหน่วยงานกรมชลประทานห้วยเดียกได้จัดโครงการปฏิบัติธรรมให้ข้าราชการและลูกจ้างได้ร่วมกันทำบุญในวันขึ้นปีใหม่ จึงนิมนต์พระอาจารย์มาจำวัดภายในหน่วยงาน พระภิกษุได้ปักกลดที่ริมห้วย ส่วนญาติโยมพักในตึก แต่ปรากฏว่าไม่มีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในกรมมาปฏิบัติธรรม จึงมีแต่ญาติโยมที่ตามมาจากวัด สถานที่ปฏิบัติธรรมอยู่รอบอ่างเก็บน้ำมีห้องประชุมกว้างขวางใช้แทนศาลาวัด ผู้คนที่อยู่ในหน่วยงานก็กลับบ้านหมด จึงมีแค่พระและผู้ปฏิบัติธรรมเหมือนเช่นที่อยู่วัด ทั่วบริเวณเป็นสัปปายะมีสวนป่าสงบรอบอ่างเก็บน้ำ ร่มเย็น เจริญหู เจริญตา อากาศเย็นสบาย พระภิกษุช่วยกันทำทางจงกรมริมอ่างน้ำ มีไม้ยืนต้นเป็นร่มเงา มองเห็นพระราชวังภูพาน ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของอ่างเก็บน้ำ หลังทำวัตรเช้าพระอาจารย์จะนำการเดินจงกรมหมู่ ข้ามสะพานไปฝั่งภูพานราชนิเวศน์ และเนื่องจากการนิมนต์พระเป็นโครงการอบรมของกรมชลประทานจึงมีอาหารถวายพร้อม ดังนั้นการปฏิบัติธรรมครั้งนี้จึงเป็นที่ประทับใจของทุกคน ส่วนผู้เขียนได้รู้จักความฟุ้งซ่าน ทำให้ปวดศีรษะรุนแรง อยากจะกลับบ้านอยู่หลายครั้ง และคิดว่าจะกลับไปฝึกอานาปานสติต่อ แต่ด้วยบรรยากาศที่สวยงาม และมีกัลยาณมิตรหลายท่านเล่าประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์หลายรูปแบบ ก็ทำให้ผ่อนคลายได้บ้าง และด้วยความอยากรู้จึงยังกลับมาปฏิบัติธรรมในวัดป่าโสมพนัสอีก ผู้เขียนได้มาร่วมงานประจำปีของวัด ในวันที่ 4 – 11 เมษายน 2548 มีญาติธรรมมาจากหลายจังหวัด มาเป็นกลุ่ม บ้างมาเป็นครอบครัว ก็สนุกไปอีกแบบ อาจเป็นนิสัยของผู้เขียนชอบฟังเรื่องอารมณ์กรรมฐานของผู้ปฏิบัติ ในระยะแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และด้วยพระอาจารย์แสดงธรรมได้สนุกน่าติดตาม จึงทำให้ผู้เขียนปลีกตัวมาวัดบ่อยมาก จนจำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง ใน 2 ปีคงเกิน 15 ครั้ง หลังจากจบปีที่สองเริ่มท้อใจ คงไม่มีทางเห็นเส้นทางธรรมแน่แท้ ก็พอเข้าใจว่าทำไม ปัจจัยจากความอยากได้ อยากเป็น และการฝังตัวของกิเลศซึ่งอยู่กันมาด้วยความสุขแบบโลกๆ กว่า 50 ปี การถอยออกของกิเลสคงยาก ยิ่งใกล้ถึงวันเกษียณก็เสียใจลึกๆว่ามาปฏิบัติช้าไป คงตายไปกับกิเลสแน่นอน จึงหยุดพักยก 3 เดือนก่อนเกษียณ เพื่อมาสะสางสมบัติในห้องพักที่สะสมมาตลอด 25 ปีของการทำงาน บางอย่างทิ้ง บางอย่างยังมีประโยชน์ก็เก็บใส่ตู้ให้หมอรุ่นหลังได้ใช้ บางส่วนโดยเฉพาะหนังสือธรรมะที่ได้รับจากผู้ป่วยและเพื่อนๆ เก็บกลับบ้าน ก็มากมายพอควร ส่วนของอื่นๆ จิปาถะต้องขนกลับมาสะสมที่บ้านต่อ งานสะสางทำมาตลอด 3 เดือน เก็บไปคิดไปว่าทำไมเราจึง แบกของหนักไว้มากมายอย่างนี้ 1 เดือนก่อนเกษียณ (กันยายน พ.ศ. 2549) มีการจัดงานด้วยรักและอาลัยจากหลายหน่วยงาน งานเฉพาะที่ต้องไปเพราะเป็นงานจัดให้เฉพาะตัวผู้เกษียณมี 6 งาน ส่วนงานเลี้ยงรวมๆไม่ได้ไปอีกหลายงาน และฝ่ายบุคลากรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังจัดสัมมนาโครงการให้ผู้เกษียณอายุเตรียมตัวเตรียมใจที่จะว่างงาน เนื้อหาเป็นการดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ การบริหารเงินให้พอใช้ ความรู้เรื่องกฎหมาย รวมทั้งชี้แจงสวัสดิการต่างๆ มีการนิมนต์พระมาเทศนาธรรม เรื่อง สุขภาพจิต และคลายเครียด เพื่อสุขภาพที่ดีในวัยสูงอายุ โดยพระสุธีวรญาณจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ท่านได้แนะนำการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน โดยแสดงวิธีการยกมือสร้างจังหวะ ให้ผู้เข้าอบรมทำตาม และแสดงวิธีการเดินจงกรม 3 วันหลังเกษียณอายุราชการวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ผู้เขียนได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าโสมพนัส เพื่อฉลองที่ไม่สามารถเห็นเส้นทางธรรมดังตั้งใจไว้เมื่อ 3 ปีก่อน และหวังว่าหลังเกษียณอายุการปฏิบัติธรรมจะพัฒนาดีขึ้น เพราะงานทางโลกลดลง และตั้งใจว่าจะไม่หางานใหม่มาแบกเพิ่ม การปฏิบัติธรรมครั้งนี้มีอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนครเกือบ 100ท่านมาอบรมในโอกาสที่มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน และมีนิสิตคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งผู้เขียนแนะนำมาปฏิบัติธรรมอีก 1 ท่าน ผู้เขียนจะเคยชินกับการอบรมกลุ่มใหญ่ร่วมกับนักเรียน นักศึกษาซึ่งจะวุ่นวายพอควร จากการสังเกตพบว่าบางท่านถูกบังคับมา บางท่านก็สมัครใจมา และในครั้งนี้มีบางคนว่าถูกหลอกมา แต่ผลการปฏิบัติของทั้ง 2 กลุ่มจะคล้ายกัน คือ ผู้ปฏิบัติธรรมได้อารมณ์ในจำนวนพอๆ กัน พระอาจารย์ให้ผู้เขียนเป็นวิทยากรร่วม ก็ค่อนข้างยากที่จะพูดเรื่องธรรมะแบบผู้รู้แจ้ง โดยผู้เขียนที่ยังปฏิบัติไม่ได้จุดดังกล่าว จึงพูดแต่เรื่องประสบการณ์และให้กำลังใจผู้เข้าอบรม บางครั้งก็รู้สึกอายที่เห็นเด็กได้อารมณ์กัน แต่ผู้เขียนยังติดอารมณ์อยู่ การปฏิบัติธรรมครั้งนี้ผู้เขียนจะแยกไปปฏิบัติเดี่ยว เพราะรู้ตัวว่าประมาทมากไป เมื่อใกล้ถึงวันตายจึงควรต้องรีบหน่อย ในวันที่สองของการปฏิบัติธรรม นักศึกษาหญิง 1 ท่านเกิดอาการปวดท้อง แน่นท้องรุนแรง ผู้เขียนเห็นเธอนอนก่ายหน้าผากในห้องพัก แม่ชีเล่าว่าเมื่อวานเธอบ่นว่าปวดท้อง เข้าใจว่าท้องผูกจึงให้ยาถ่ายไป ผู้เขียนก็บอกแม่ชีว่าคงติดอารมณ์มากกว่า ในตอนบ่ายพระอาจารย์ให้อาจารย์ผู้คุมนักศึกษามาบอกให้ผู้เขียนไปช่วยดูแลนักศึกษาคนดังกล่าว เพราะเธอไม่สามารถออกมาเดินจงกรมได้นอนซมอยู่ในห้องตั้งแต่เช้า เธอบอกกับอาจารย์ว่าถูกหลอกให้มาปฏิบัติธรรม เมื่อผู้เขียนตรวจร่างกายเธอก็ปกติดี จึงบอกเธอว่าเธอไม่เป็นอะไรเพียงแต่ถูกกิเลสหลอก ผู้เขียนช่วยประคองให้เธอลุกขึ้นนั่งแล้วให้ลุกขึ้นยืนช้าๆ จับไหล่ทั้งสองข้างและเขย่าตัวเธอแรงๆ 3 ครั้ง พร้อมกับบอกเธอว่าตัวกิเลสหลุดออกไปแล้ว ให้ลองออกไปเดินจงกรมที่สวนข้างนอกรับอากาศบริสุทธิ์ จะสบายขึ้น เธอก็ทำตามและในตอนเย็นผู้เขียนสังเกตเห็นว่าเธอได้อารมณ์ปฏิบัติชัดเจนก็รู้สึกดีใจด้วย ส่วนนิสิตแพทย์ คุณหมอกอล์ฟมาหลังผู้เขียน 1 วัน ผู้เขียนได้กราบเรียนพระอาจารย์ว่าหากหมอกอล์ฟผ่านอารมณ์ได้ก็จะมีนิสิตแพทย์อีกหลายคนตามมา ปฏิบัติกรรมฐานและเข้าใจธรรมะของนิสิตแพทย์คงจะช่วยให้แพทย์รุ่นใหม่สามารถรักษาทั้งกายและใจของผู้ป่วยได้ในเวลาเดียวกัน หมอกอล์ฟปฏิบัติธรรมนาน 5 วันก็ยังเครียด และรู้สึกน้อยใจว่าตัวเองมีความตั้งใจสูงแต่กลับปฏิบัติไม่ได้ผล ส่วนนักศึกษาราชภัฏทำแบบเล่นๆกลับได้อารมณ์ ในวันสุดท้ายหมอกอล์ฟลงทุนเดินจงกรมติดต่อ 7 ชั่วโมง ก็ไม่พบอะไรเปลี่ยนแปลง และเริ่มไม่มั่นใจกับการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวว่าสู้การดูจิตแบบที่เคยปฏิบัติมาก่อนไม่ได้ ผู้เขียนต้องขอเวลานอกนั่งคุยกับหมอกอล์ฟก่อนกลับว่าถ้ามีความตั้งใจมากไปจะกลายเป็นอุปสรรค การปฏิบัติทางธรรมอยู่เหนือเหตุเหนือผล ดังนั้นแพทย์ซึ่งถูกสั่งสอนให้มีเหตุผลต้องคิดก่อนทำมาตลอดจึงเกิดการสับสนในการปฏิบัติ และจะต้องใช้เวลาปรับอารมณ์นานมากกว่าสาขาอื่น อย่าท้อแท้ ก่อนคุณหมอกลับได้คุยปัญหาข้องใจกับพระอาจารย์ คุณหมอกอล์ฟกราบเรียนพระอาจารย์ว่าจะมาแก้ตัวใหม่ในเดือนเมษายน ผู้เขียนก็รู้สึกโล่งอกที่การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวว่าจะยังไม่ถูกปฏิเสธในกลุ่มนิสิตแพทย์ ในระหว่างปฏิบัติธรรมครั้งนี้เป็นเทศกาลออกพรรษา ผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามพระอาจารย์ไปเฝ้าดูบั้งไฟพญานาค เนื่องจากญาติธรรมซึ่งทำงานอยู่โรงงานยาสูบริมแม่น้ำโขงได้นิมนต์พระอาจารย์ตั้งแต่ปีที่แล้ว และด้วยผู้เขียนเคยรำพึงรำพันว่าคนเป็นแสนแห่ไปดูบั้งไฟพญานาค แต่พระอาจารย์มีคนนิมนต์กลับไม่ไป ท่านคงกลัวผู้เขียนจะติดอารมณ์จึงพาไปปีนี้ พระทั้งวัด 12 รูป ชี 2 รูป และญาติธรรมเกือบ 10 คน นั่งเก้าอี้เรียงแถวยาวริมฝั่งโขงตั้งแต่ 6 โมงเย็นก่อนตะวันลับฟ้า บรรยากาศก็สงบสวยงามรอจนถึง 4 ทุ่ม ก็ไม่มีบั้งไฟของพญานาคลอยขึ้นฟ้า มีแต่บั้งไฟตัวจริงของมนุษย์ยิงขึ้นฟ้าเป็นระยะๆ ทางฝั่งประเทศลาว ผู้เขียนก็ไม่รู้สึกเสียใจที่พลาดโอกาสชมบั้งไฟพญานาคก็คงเหมือนๆ กันเพราะเป็นเรื่องสมมุติ การอบรมของวัดโสมพนัสจะมีคนเข้าออกทุกวัน และในวันเข้าพรรษานี้ญาติธรรมกลุ่มของคุณอภิสิทธิ์รวม 4 ท่านเหมารถตู้ชนิดนั่งสบายๆมา ก่อนผู้เขียนกลับพระอาจารย์เลยพาธุดงค์คลายเครียดด้วยรถตู้ของคุณอภิสิทธิ์มีพระ 5 รูป และญาติธรรม 6 ท่าน ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด แม่ออกได้จัดอาหารเพลให้ไปฉันระหว่างทาง การธุดงค์ได้ไปแวะวัดถ้ำขาม พิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่เทศน์ และภูทอกสถานปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อจวนตามลำดับ ภูทอกเป็นภูเขาเดี่ยวตั้งตรงดิ่ง ได้ขึ้นไปกราบรู)ปั้นหลวงพ่อจวนที่ศาลา ซึ่งคงเป็นที่หลวงพ่อจวนเคยแสดงธรรม กุฏิของหลวงพ่อก็อยู่ยื่นออกไปจากภูเขา ในภาคปฏิบัติท่านคงให้ผู้ปฏิบัติธรรมนั่งเจริญสติตามหลืบเขา ทุกคนคงต้องดำรงสติมั่น เพราะถ้าเผลอตัวคงตกเขา หลังจากหลวงพ่อจวนมรณภาพ พุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธาได้สร้างทางเป็นระเบียงไม้ไต่ระดับไป 5 ชั้น ถือเป็นสถาปัตยกรรมมหัศจรรย์ของโลก พระอาจารย์เล่าว่าวิศวกรต่างชาติยังทึ่งกับความสามารถของชาวบ้านที่เจาะภูเขาเป็นระยะๆ รอบภูเขาสอดไม้เป็นคาน และทอดไม้เป็นทางวนขึ้นไปจนถึงยอดเขา โดยผู้สร้างจะต้องโหนเชือกทำในขณะเจาะและวางทางเดิน ส่วนทางลงเป็นขั้นบันไดไม้คล้ายบันไดหนีไฟหย่อนลงมา การก้าวลงจะได้ระยะพอดีก้าว เมื่อย่างอย่างมีสติจะทำให้รู้สึกเพลินไม่กลัวไม่เหนื่อย และด้วยทิวทัศน์ซึ่งเป็นป่าเขียวชอุ่มร่มเย็นจะทำให้รู้สึกสงบสบาย บนเขานี้จะมีผึ้งมาเกาะทำรังทุกปี แต่ในระยะที่ผู้เขียนไปรังผึ้งถูกชาวบ้านเก็บไปหมด ดูจากรอยเกาะคงจะเป็นรังผึ้งขนาดใหญ่มาก นอกจากทางเดินจะยื่นออกคล้ายระเบียงบ้านวนรอบเขา ยังพบว่าในทางวนชั้นที่สามมีรังต่อเกาะอยู่ใต้ไม้ที่ปูทางเดิน ทุกคนต้องเดินอย่างมีสติเพิ่มขึ้น บางคนต้องกลั้นหายใจเดินเบาๆ ไม่รบกวนตัวต่อและทุกคนก็ผ่านจุดนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ในการธุดงค์ครั้งนี้มีเหตุการณ์ที่น่าประทับใจ คือ เมื่อออกเดินทางญาติธรรมได้เตรียมอาหารให้ถวายเพลระหว่างทาง ไม่มีใครทราบว่าเส้นทางธุดงค์ในครั้งแรก เมื่อเริ่มเดินทางพระอาจารย์บอกว่าจะไปน้ำตกสายรุ้ง โดยพระอาจารย์เป็นผู้บอกเส้นทางให้คนขับรถ มีการจอดดูวัดหรือศาสนสถานเป็นระยะดังกล่าว ท่านจะให้จอดรถฉันเพลที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง แต่ขับมาจนใกล้เวลาเพลก็ไม่มีร้านก๋วยเตี๋ยว เส้นทางมีแต่ป่าละเมาะ และบ้านของชาวบ้านซึ่งอยู่ไกลจากถนนมาก ผ่านไร่คิดว่าเป็นไร่แคนตาลูปโอท๊อปที่มีชื่อเสียงของจังหวัดผู้เขียนจะซื้อถวายพระ แต่พอจอดถามกลับเป็นไร่แตงโม เมื่อใกล้เวลาเพลพระอาจารย์จึงบอกให้จอดรถที่บ้านหลังหนึ่ง มีป้ายชื่อบอกว่าเป็นร้านอาหารคาราโอเกะ ซึ่งยังไม่ถึงเวลาเปิดขาย คนขับรถได้เข้าไปขอใช้สถานที่เพื่อถวายอาหารเพลพระภิกษุ เจ้าของร้านเป็นหญิงกลางคนแสดงความดีใจเธอออกมานิมนต์พระ เพราะเธอและพนักงานกำลังเตรียมอาหารเพื่อไปถวายพระเนื่องในวันเกิดของเธอ เมื่อมีพระ 5 รูปมาบิณฑบาตถึงที่ก็น่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เธอได้จัดอาหารถวายพระ เมื่อพระฉันเสร็จพระทั้ง 5 รูปได้สวดให้พรเจ้าภาพ ทุกคนในร้านนั่งรับพรด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสที่ได้ทำบุญกับพระธุดงค์ถึง 5 รูป ส่วนญาติโยมก็ได้ฉันอาหารร้อนๆ มีคนมาเสิร์ฟบริการเหมือนร้านอาหารตามสั่ง ไม่ต้องล้างถ้วยล้างชาม เมื่ออิ่มก็เข้าห้องน้ำ ล้างมือ ล้างหน้า ทำธุระส่วนตัว และพร้อมที่จะเดินทางต่อไป ไม่ต้องจ่ายเงินแกมได้อิ่มบุญอีกต่างหาก การปฏิบัติธรรมหลังเกษียณอายุของผู้เขียนจึงกลายเป็นเรื่องกิเลสหลากหลายอารมณ์ ไม่น่าเบื่อจริงๆ คงต้องเร่งความเพียรเจริญสติอีกนาน |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น