ยินดีต้อนรับสู่...สถานที่แห่งการฝึกฝนตน พัฒนาจิต เพื่อชีวิตที่รู้แจ้ง  

ปฏิบัติธรรมฉลองวัยเกษียณ

ปฏิบัติธรรมฉลองวัยเกษียณอายุราชการ
รศ. พญ. พรทิพย์  ภูวบัณฑิตสิน
สาขาตจวิทยา  ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                ผู้เขียนเข้ามาปฏิบัติธรรมเมื่อปี พ.ศ. 2537 หลังจากอาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่งเกษียณอายุราชการ  และถูกหน่วยงานที่ท่านปฏิบัติงานมาตลอดปฏิเสธไม่ให้ทำงานที่ตั้งใจจะทำหลังเกษียณอายุ ผู้เขียนจึงต้องรีบหากิจกรรมทดแทนเวลาว่างที่จะถึงในบั้นปลายชีวิต  ในครั้งแรกได้เข้าฝึกภาวนาแบบอานาปานสติที่สวนโมกขพลาราม  การภาวนาเป็นการพักผ่อนทางจิตใจ  ทำให้สดชื่นมีพลังในการทำงานทางโลกมากขึ้น  ผู้เข้าอบรมเป็นกลุ่มวัยทำงานซึ่งจะไปชาร์ตแบตเตอรี่ทางจิตเมื่อว่าง    ผู้เขียนจึงนิยมใช้เวลาว่าง 3- 4 ครั้งต่อปี ไปภาวนามากกว่าการไปท่องเที่ยวต่างประเทศ  เริ่มเข้าใจพุทธศาสนาและอ่านหนังสือธรรมะพอรู้เรื่อง
                ในระยะ 3 ปีก่อนเกษียณอายุราชการ ได้เปลี่ยนมาปฏิบัติธรรมสายหลวงพ่อเทียน เป็นการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว  ด้วยมีคำรับรองว่าได้ผลเร็วและง่าย  ผู้เขียนจึงคิดว่าน่าจะบรรลุธรรมได้ก่อนเกษียณ  การปฏิบัติเป็นการยกมือเคลื่อนไหวสร้างจังหวะ  แบบลืมตาและเดินจงกรม  วิธีการดูแปลกๆ ไม่สงบแบบอานาปานสติ  หลังจบการฝึกอบรมครั้งแรกก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าจะบรรลุธรรมได้อย่างไร  การสู้กับนิวรณ์พระอาจารย์ก็เรียกง่ายๆ ว่า สู้กับตัวง่วง ตัวคิด  ตัวปรุงแต่งฟุ้งซ่าน  ความสงสัย  โดยจากเดิมเคยอ่านในหนังสือที่ใช้เป็นภาษาบาลีว่า ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
                ผู้อบรมในกลุ่มเจริญสติมีหลากหลายอาชีพอายุตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงวัย ปฏิบัติร่วมกันโดยแบ่งปฏิบัติธรรมเป็นกลุ่มๆในความดูแลของพระภิกษุพี่เลี้ยง  มีทางจงกรมเป็นร่องดินส่วนตัว  พระอาจารย์จะเดินวนเวียนสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติอย่างใกล้ชิด  ผู้เขียนได้เข้าการปฏิบัติธรรมครั้งแรกในต้นเดือนธันวาคม  และอยู่จนครบ 7 วัน ไม่แหกค่ายออกก่อนกำหนด  เพราะผู้เขียนเป็นคนชอบศึกษาหาความรู้ทุกรูปแบบมาตั้งแต่เด็กจึงปรับตัวได้ง่าย  และด้วยลิขิตชีวิตไว้ว่าจะไปปฏิบัติธรรมในวันขึ้นปีใหม่ทุกปีจึงได้ลาพักร้อนล่วงหน้าไว้ทุกปี  ดังนั้นในปลายเดือนธันวาคมปีเดียวกัน คือ พ.ศ. 2547 จึงกลับมาที่วัดป่าโสมพนัสอีกครั้ง  การปฏิบัติธรรม 4 วันแรกอยู่ในวัด  และเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ คือ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2548 ได้ย้ายไปปฏิบัติธรรมในอ่างเก็บน้ำชลประทานห้วยเดียก จังหวัดสกลนครต่ออีก 4 วัน  โดยหัวหน้าหน่วยงานกรมชลประทานห้วยเดียกได้จัดโครงการปฏิบัติธรรมให้ข้าราชการและลูกจ้างได้ร่วมกันทำบุญในวันขึ้นปีใหม่  จึงนิมนต์พระอาจารย์มาจำวัดภายในหน่วยงาน  พระภิกษุได้ปักกลดที่ริมห้วย  ส่วนญาติโยมพักในตึก  แต่ปรากฏว่าไม่มีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในกรมมาปฏิบัติธรรม  จึงมีแต่ญาติโยมที่ตามมาจากวัด  สถานที่ปฏิบัติธรรมอยู่รอบอ่างเก็บน้ำมีห้องประชุมกว้างขวางใช้แทนศาลาวัด    
                ผู้คนที่อยู่ในหน่วยงานก็กลับบ้านหมด  จึงมีแค่พระและผู้ปฏิบัติธรรมเหมือนเช่นที่อยู่วัด  ทั่วบริเวณเป็นสัปปายะมีสวนป่าสงบรอบอ่างเก็บน้ำ  ร่มเย็น  เจริญหู  เจริญตา  อากาศเย็นสบาย  พระภิกษุช่วยกันทำทางจงกรมริมอ่างน้ำ  มีไม้ยืนต้นเป็นร่มเงา  มองเห็นพระราชวังภูพาน  ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของอ่างเก็บน้ำ  หลังทำวัตรเช้าพระอาจารย์จะนำการเดินจงกรมหมู่   ข้ามสะพานไปฝั่งภูพานราชนิเวศน์  และเนื่องจากการนิมนต์พระเป็นโครงการอบรมของกรมชลประทานจึงมีอาหารถวายพร้อม  ดังนั้นการปฏิบัติธรรมครั้งนี้จึงเป็นที่ประทับใจของทุกคน  ส่วนผู้เขียนได้รู้จักความฟุ้งซ่าน  ทำให้ปวดศีรษะรุนแรง  อยากจะกลับบ้านอยู่หลายครั้ง  และคิดว่าจะกลับไปฝึกอานาปานสติต่อ  แต่ด้วยบรรยากาศที่สวยงาม  และมีกัลยาณมิตรหลายท่านเล่าประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์หลายรูปแบบ  ก็ทำให้ผ่อนคลายได้บ้าง  และด้วยความอยากรู้จึงยังกลับมาปฏิบัติธรรมในวัดป่าโสมพนัสอีก
                ผู้เขียนได้มาร่วมงานประจำปีของวัด  ในวันที่ 4  11 เมษายน 2548 มีญาติธรรมมาจากหลายจังหวัด  มาเป็นกลุ่ม  บ้างมาเป็นครอบครัว  ก็สนุกไปอีกแบบ  อาจเป็นนิสัยของผู้เขียนชอบฟังเรื่องอารมณ์กรรมฐานของผู้ปฏิบัติ  ในระยะแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  และด้วยพระอาจารย์แสดงธรรมได้สนุกน่าติดตาม  จึงทำให้ผู้เขียนปลีกตัวมาวัดบ่อยมาก  จนจำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง  ใน 2 ปีคงเกิน 15 ครั้ง  หลังจากจบปีที่สองเริ่มท้อใจ  คงไม่มีทางเห็นเส้นทางธรรมแน่แท้  ก็พอเข้าใจว่าทำไม  ปัจจัยจากความอยากได้  อยากเป็น  และการฝังตัวของกิเลศซึ่งอยู่กันมาด้วยความสุขแบบโลกๆ กว่า 50 ปี การถอยออกของกิเลสคงยาก  ยิ่งใกล้ถึงวันเกษียณก็เสียใจลึกๆว่ามาปฏิบัติช้าไป  คงตายไปกับกิเลสแน่นอน  จึงหยุดพักยก 3 เดือนก่อนเกษียณ  เพื่อมาสะสางสมบัติในห้องพักที่สะสมมาตลอด 25 ปีของการทำงาน  บางอย่างทิ้ง  บางอย่างยังมีประโยชน์ก็เก็บใส่ตู้ให้หมอรุ่นหลังได้ใช้  บางส่วนโดยเฉพาะหนังสือธรรมะที่ได้รับจากผู้ป่วยและเพื่อนๆ เก็บกลับบ้าน  ก็มากมายพอควร  ส่วนของอื่นๆ จิปาถะต้องขนกลับมาสะสมที่บ้านต่อ งานสะสางทำมาตลอด 3 เดือน เก็บไปคิดไปว่าทำไมเราจึง แบกของหนักไว้มากมายอย่างนี้
1 เดือนก่อนเกษียณ (กันยายน พ.ศ. 2549)  มีการจัดงานด้วยรักและอาลัยจากหลายหน่วยงาน  งานเฉพาะที่ต้องไปเพราะเป็นงานจัดให้เฉพาะตัวผู้เกษียณมี 6 งาน  ส่วนงานเลี้ยงรวมๆไม่ได้ไปอีกหลายงาน  และฝ่ายบุคลากรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ยังจัดสัมมนาโครงการให้ผู้เกษียณอายุเตรียมตัวเตรียมใจที่จะว่างงาน  เนื้อหาเป็นการดูแลสุขภาพกาย  สุขภาพใจ  การบริหารเงินให้พอใช้  ความรู้เรื่องกฎหมาย  รวมทั้งชี้แจงสวัสดิการต่างๆ มีการนิมนต์พระมาเทศนาธรรม เรื่อง สุขภาพจิต  และคลายเครียด  เพื่อสุขภาพที่ดีในวัยสูงอายุ  โดยพระสุธีวรญาณจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย  ท่านได้แนะนำการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน  โดยแสดงวิธีการยกมือสร้างจังหวะ  ให้ผู้เข้าอบรมทำตาม  และแสดงวิธีการเดินจงกรม
                3 วันหลังเกษียณอายุราชการวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ผู้เขียนได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าโสมพนัส  เพื่อฉลองที่ไม่สามารถเห็นเส้นทางธรรมดังตั้งใจไว้เมื่อ 3 ปีก่อน และหวังว่าหลังเกษียณอายุการปฏิบัติธรรมจะพัฒนาดีขึ้น  เพราะงานทางโลกลดลง  และตั้งใจว่าจะไม่หางานใหม่มาแบกเพิ่ม  การปฏิบัติธรรมครั้งนี้มีอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนครเกือบ 100ท่านมาอบรมในโอกาสที่มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน  และมีนิสิตคณะแพทยศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งผู้เขียนแนะนำมาปฏิบัติธรรมอีก 1 ท่าน  ผู้เขียนจะเคยชินกับการอบรมกลุ่มใหญ่ร่วมกับนักเรียน  นักศึกษาซึ่งจะวุ่นวายพอควร จากการสังเกตพบว่าบางท่านถูกบังคับมา  บางท่านก็สมัครใจมา  และในครั้งนี้มีบางคนว่าถูกหลอกมา  แต่ผลการปฏิบัติของทั้ง 2 กลุ่มจะคล้ายกัน คือ ผู้ปฏิบัติธรรมได้อารมณ์ในจำนวนพอๆ กัน  พระอาจารย์ให้ผู้เขียนเป็นวิทยากรร่วม  ก็ค่อนข้างยากที่จะพูดเรื่องธรรมะแบบผู้รู้แจ้ง  โดยผู้เขียนที่ยังปฏิบัติไม่ได้จุดดังกล่าว  จึงพูดแต่เรื่องประสบการณ์และให้กำลังใจผู้เข้าอบรม  บางครั้งก็รู้สึกอายที่เห็นเด็กได้อารมณ์กัน  แต่ผู้เขียนยังติดอารมณ์อยู่
                การปฏิบัติธรรมครั้งนี้ผู้เขียนจะแยกไปปฏิบัติเดี่ยว  เพราะรู้ตัวว่าประมาทมากไป  เมื่อใกล้ถึงวันตายจึงควรต้องรีบหน่อย  ในวันที่สองของการปฏิบัติธรรม  นักศึกษาหญิง 1 ท่านเกิดอาการปวดท้อง  แน่นท้องรุนแรง  ผู้เขียนเห็นเธอนอนก่ายหน้าผากในห้องพัก  แม่ชีเล่าว่าเมื่อวานเธอบ่นว่าปวดท้อง  เข้าใจว่าท้องผูกจึงให้ยาถ่ายไป  ผู้เขียนก็บอกแม่ชีว่าคงติดอารมณ์มากกว่า  ในตอนบ่ายพระอาจารย์ให้อาจารย์ผู้คุมนักศึกษามาบอกให้ผู้เขียนไปช่วยดูแลนักศึกษาคนดังกล่าว  เพราะเธอไม่สามารถออกมาเดินจงกรมได้นอนซมอยู่ในห้องตั้งแต่เช้า  เธอบอกกับอาจารย์ว่าถูกหลอกให้มาปฏิบัติธรรม  เมื่อผู้เขียนตรวจร่างกายเธอก็ปกติดี  จึงบอกเธอว่าเธอไม่เป็นอะไรเพียงแต่ถูกกิเลสหลอก  ผู้เขียนช่วยประคองให้เธอลุกขึ้นนั่งแล้วให้ลุกขึ้นยืนช้าๆ  จับไหล่ทั้งสองข้างและเขย่าตัวเธอแรงๆ 3 ครั้ง  พร้อมกับบอกเธอว่าตัวกิเลสหลุดออกไปแล้ว  ให้ลองออกไปเดินจงกรมที่สวนข้างนอกรับอากาศบริสุทธิ์ จะสบายขึ้น เธอก็ทำตามและในตอนเย็นผู้เขียนสังเกตเห็นว่าเธอได้อารมณ์ปฏิบัติชัดเจนก็รู้สึกดีใจด้วย
                ส่วนนิสิตแพทย์  คุณหมอกอล์ฟมาหลังผู้เขียน 1 วัน  ผู้เขียนได้กราบเรียนพระอาจารย์ว่าหากหมอกอล์ฟผ่านอารมณ์ได้ก็จะมีนิสิตแพทย์อีกหลายคนตามมา  ปฏิบัติกรรมฐานและเข้าใจธรรมะของนิสิตแพทย์คงจะช่วยให้แพทย์รุ่นใหม่สามารถรักษาทั้งกายและใจของผู้ป่วยได้ในเวลาเดียวกัน  หมอกอล์ฟปฏิบัติธรรมนาน 5 วันก็ยังเครียด  และรู้สึกน้อยใจว่าตัวเองมีความตั้งใจสูงแต่กลับปฏิบัติไม่ได้ผล  ส่วนนักศึกษาราชภัฏทำแบบเล่นๆกลับได้อารมณ์  ในวันสุดท้ายหมอกอล์ฟลงทุนเดินจงกรมติดต่อ 7 ชั่วโมง ก็ไม่พบอะไรเปลี่ยนแปลง   และเริ่มไม่มั่นใจกับการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวว่าสู้การดูจิตแบบที่เคยปฏิบัติมาก่อนไม่ได้  ผู้เขียนต้องขอเวลานอกนั่งคุยกับหมอกอล์ฟก่อนกลับว่าถ้ามีความตั้งใจมากไปจะกลายเป็นอุปสรรค  การปฏิบัติทางธรรมอยู่เหนือเหตุเหนือผล  ดังนั้นแพทย์ซึ่งถูกสั่งสอนให้มีเหตุผลต้องคิดก่อนทำมาตลอดจึงเกิดการสับสนในการปฏิบัติ  และจะต้องใช้เวลาปรับอารมณ์นานมากกว่าสาขาอื่น  อย่าท้อแท้  ก่อนคุณหมอกลับได้คุยปัญหาข้องใจกับพระอาจารย์  คุณหมอกอล์ฟกราบเรียนพระอาจารย์ว่าจะมาแก้ตัวใหม่ในเดือนเมษายน ผู้เขียนก็รู้สึกโล่งอกที่การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวว่าจะยังไม่ถูกปฏิเสธในกลุ่มนิสิตแพทย์
                ในระหว่างปฏิบัติธรรมครั้งนี้เป็นเทศกาลออกพรรษา  ผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามพระอาจารย์ไปเฝ้าดูบั้งไฟพญานาค  เนื่องจากญาติธรรมซึ่งทำงานอยู่โรงงานยาสูบริมแม่น้ำโขงได้นิมนต์พระอาจารย์ตั้งแต่ปีที่แล้ว และด้วยผู้เขียนเคยรำพึงรำพันว่าคนเป็นแสนแห่ไปดูบั้งไฟพญานาค  แต่พระอาจารย์มีคนนิมนต์กลับไม่ไป  ท่านคงกลัวผู้เขียนจะติดอารมณ์จึงพาไปปีนี้  พระทั้งวัด 12 รูป ชี 2 รูป และญาติธรรมเกือบ 10 คน นั่งเก้าอี้เรียงแถวยาวริมฝั่งโขงตั้งแต่ 6 โมงเย็นก่อนตะวันลับฟ้า  บรรยากาศก็สงบสวยงามรอจนถึง 4 ทุ่ม ก็ไม่มีบั้งไฟของพญานาคลอยขึ้นฟ้า  มีแต่บั้งไฟตัวจริงของมนุษย์ยิงขึ้นฟ้าเป็นระยะๆ ทางฝั่งประเทศลาว  ผู้เขียนก็ไม่รู้สึกเสียใจที่พลาดโอกาสชมบั้งไฟพญานาคก็คงเหมือนๆ กันเพราะเป็นเรื่องสมมุติ
                การอบรมของวัดโสมพนัสจะมีคนเข้าออกทุกวัน  และในวันเข้าพรรษานี้ญาติธรรมกลุ่มของคุณอภิสิทธิ์รวม 4 ท่านเหมารถตู้ชนิดนั่งสบายๆมา  ก่อนผู้เขียนกลับพระอาจารย์เลยพาธุดงค์คลายเครียดด้วยรถตู้ของคุณอภิสิทธิ์มีพระ 5 รูป  และญาติธรรม 6 ท่าน  ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด  แม่ออกได้จัดอาหารเพลให้ไปฉันระหว่างทาง  การธุดงค์ได้ไปแวะวัดถ้ำขาม  พิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่เทศน์  และภูทอกสถานปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อจวนตามลำดับ  ภูทอกเป็นภูเขาเดี่ยวตั้งตรงดิ่ง  ได้ขึ้นไปกราบรู)ปั้นหลวงพ่อจวนที่ศาลา  ซึ่งคงเป็นที่หลวงพ่อจวนเคยแสดงธรรม กุฏิของหลวงพ่อก็อยู่ยื่นออกไปจากภูเขา ในภาคปฏิบัติท่านคงให้ผู้ปฏิบัติธรรมนั่งเจริญสติตามหลืบเขา ทุกคนคงต้องดำรงสติมั่น เพราะถ้าเผลอตัวคงตกเขา หลังจากหลวงพ่อจวนมรณภาพ  พุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธาได้สร้างทางเป็นระเบียงไม้ไต่ระดับไป 5 ชั้น  ถือเป็นสถาปัตยกรรมมหัศจรรย์ของโลก  พระอาจารย์เล่าว่าวิศวกรต่างชาติยังทึ่งกับความสามารถของชาวบ้านที่เจาะภูเขาเป็นระยะๆ รอบภูเขาสอดไม้เป็นคาน  และทอดไม้เป็นทางวนขึ้นไปจนถึงยอดเขา  โดยผู้สร้างจะต้องโหนเชือกทำในขณะเจาะและวางทางเดิน  ส่วนทางลงเป็นขั้นบันไดไม้คล้ายบันไดหนีไฟหย่อนลงมา  การก้าวลงจะได้ระยะพอดีก้าว  เมื่อย่างอย่างมีสติจะทำให้รู้สึกเพลินไม่กลัวไม่เหนื่อย และด้วยทิวทัศน์ซึ่งเป็นป่าเขียวชอุ่มร่มเย็นจะทำให้รู้สึกสงบสบาย  บนเขานี้จะมีผึ้งมาเกาะทำรังทุกปี  แต่ในระยะที่ผู้เขียนไปรังผึ้งถูกชาวบ้านเก็บไปหมด  ดูจากรอยเกาะคงจะเป็นรังผึ้งขนาดใหญ่มาก  นอกจากทางเดินจะยื่นออกคล้ายระเบียงบ้านวนรอบเขา  ยังพบว่าในทางวนชั้นที่สามมีรังต่อเกาะอยู่ใต้ไม้ที่ปูทางเดิน  ทุกคนต้องเดินอย่างมีสติเพิ่มขึ้น  บางคนต้องกลั้นหายใจเดินเบาๆ  ไม่รบกวนตัวต่อและทุกคนก็ผ่านจุดนี้ไปได้อย่างปลอดภัย 
                ในการธุดงค์ครั้งนี้มีเหตุการณ์ที่น่าประทับใจ คือ เมื่อออกเดินทางญาติธรรมได้เตรียมอาหารให้ถวายเพลระหว่างทาง  ไม่มีใครทราบว่าเส้นทางธุดงค์ในครั้งแรก  เมื่อเริ่มเดินทางพระอาจารย์บอกว่าจะไปน้ำตกสายรุ้ง โดยพระอาจารย์เป็นผู้บอกเส้นทางให้คนขับรถ  มีการจอดดูวัดหรือศาสนสถานเป็นระยะดังกล่าว  ท่านจะให้จอดรถฉันเพลที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง  แต่ขับมาจนใกล้เวลาเพลก็ไม่มีร้านก๋วยเตี๋ยว  เส้นทางมีแต่ป่าละเมาะ  และบ้านของชาวบ้านซึ่งอยู่ไกลจากถนนมาก  ผ่านไร่คิดว่าเป็นไร่แคนตาลูปโอท๊อปที่มีชื่อเสียงของจังหวัดผู้เขียนจะซื้อถวายพระ แต่พอจอดถามกลับเป็นไร่แตงโม  เมื่อใกล้เวลาเพลพระอาจารย์จึงบอกให้จอดรถที่บ้านหลังหนึ่ง  มีป้ายชื่อบอกว่าเป็นร้านอาหารคาราโอเกะ  ซึ่งยังไม่ถึงเวลาเปิดขาย   คนขับรถได้เข้าไปขอใช้สถานที่เพื่อถวายอาหารเพลพระภิกษุ เจ้าของร้านเป็นหญิงกลางคนแสดงความดีใจเธอออกมานิมนต์พระ  เพราะเธอและพนักงานกำลังเตรียมอาหารเพื่อไปถวายพระเนื่องในวันเกิดของเธอ  เมื่อมีพระ 5 รูปมาบิณฑบาตถึงที่ก็น่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์  เธอได้จัดอาหารถวายพระ  เมื่อพระฉันเสร็จพระทั้ง 5 รูปได้สวดให้พรเจ้าภาพ  ทุกคนในร้านนั่งรับพรด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสที่ได้ทำบุญกับพระธุดงค์ถึง 5 รูป  ส่วนญาติโยมก็ได้ฉันอาหารร้อนๆ มีคนมาเสิร์ฟบริการเหมือนร้านอาหารตามสั่ง ไม่ต้องล้างถ้วยล้างชาม  เมื่ออิ่มก็เข้าห้องน้ำ  ล้างมือ ล้างหน้า  ทำธุระส่วนตัว  และพร้อมที่จะเดินทางต่อไป     ไม่ต้องจ่ายเงินแกมได้อิ่มบุญอีกต่างหาก  การปฏิบัติธรรมหลังเกษียณอายุของผู้เขียนจึงกลายเป็นเรื่องกิเลสหลากหลายอารมณ์ ไม่น่าเบื่อจริงๆ คงต้องเร่งความเพียรเจริญสติอีกนาน 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น