เรื่องเกี่ยวกับหลักสูตรปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดปัญญาสู่ความหลุดพ้นนี้ อุบายการจัดการกับจิตให้อยู่กับปกติปัจจุบันธรรมได้นั่นแหละคือหลักสูตร,การเฝ้าดูธรรมชาติของกายและจิตตัวเองนั่นแหละคือหลักพุทธธรรม,ดูเป็นมรรคหรือวิธีการ,ความรู้แจ้งสิ้นสงสัยใจหลุดพ้นนี่คือผล
การฝึกตามแบบพุทธวิธีจริงๆ คืออย่าให้เกี่ยวกับพิธีกรรม วัฒนธรรม หรือประเพณีอะไรทั้งสิ้น ใช้สติตรงเข้าดูจิตได้เลยยิ่งดี ดูแล้วดูเล่า ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น จนกว่าจะได้คำตอบจากสติคือผู้รู้ที่เขาจะทำหน้าที่ของเขาเอง
เพราะเหตุว่า ในจิตของแต่ละคนมีการสั่งสมกิเลสคือความพอใจไม่พอใจมามากมายหลากหลาย จะต่างกันก็แต่อนุสัย อาสวะเหนียวแน่นต่างกัน แต่สรุปแล้วก็ทุกข์เพราะใจมีอุปาทานเหมือนกัน ทุกข์เพราะโมหะคือความหลงเหมือนกัน ไม่หลงไม่โลภไม่โกรธ
และในทุกชีวิตของมนุษย์เรามีภาวะที่ว่างโดยปกติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันจึงไม่ยากหากทุกคนจะได้เริ่มเรียนรู้การอยู่กับปัจจุบันธรรมที่โล่งโปร่งเบาสบาย เรียนรู้การเกิดและการดับของอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่งจิตให้เกิดหลงพอใจไม่พอใจ ศึกษาการเกิดขึ้นและการดับไปของนิวรณ์ธรรมอย่างละเอียด ที่คงรูปอยู่ในลักษณะของอนุสัยหรืออาสวะธรรมด้วย เข้าถึงภาวะของการไม่เกิดไม่ดับที่ถาวรได้ ผู้นั้นก็ไม่ต้องเรียนรู้อะไรอย่างไรแบบไหนที่ใดอีก เพราะได้เข้าถึงความรู้อันสมบูรณ์แห่งสติปัญญาของมนุษย์แล้ว
ดังนั้นหากแม้นว่าผู้ใดตั้งใจฝึกฝนเจริญสติ ตั้งใจทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่โดยปกติแล้ว ก็หมายความว่าผู้นั้นได้มีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร พุทธภาวะคือรู้ ตื่น เบิกบาน จะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะไขประตูโลกียะสู่โลกุตระได้โดยไม่ต้องหวังพึ่งใครที่ไหนก็ได้
การกระตุ้น เร่งเร้า ชี้แจง ทำความเข้าใจ จะทำเฉพาะที่คนอินทรีย์ยังไม่เข้มแข็ง พอที่จะฝืนยืนหยัดปรารภความเพียร ฝึกนิสัย ฝืนนิวรณ์ธรรมได้เท่านั้น คือจิตยังไม่สามารถอยู่กับตัวรู้ สติหรือพุทธะยังเป็นพี่เลี้ยงให้กับจิตยังไม่ได้ นี่คือภาระของอาจารย์.. หากผู้ใดมีอินทรีย์เข้มแข็งเพียงพอท่านก็จะปล่อย คือดูอยู่ห่าง ๆ
ถ้าเป็นนักมวยก็แสดงว่าฝีไม้ลายมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับคู่ต่อสู้ เขาก็จะให้โอกาสขึ้นเวทีเพื่อชิงแชมป์ได้ ฉันใดก็ดี หากนักปฏิบัติท่านใดมีคุณธรรม 5 ประการที่เพียงพอท่านก็จะให้เข้าห้องกรรมฐานเก็บอารมณ์ คุณธรรม 5 ประการนี้ท่านมักเรียกว่า อินทรีย์ 5 ได้แก่ 1. ศรัทธา ความจริงใจ ความตั้งใจ 2. วิริยะ ความขยัน ความกล้าพิสูจน์ 3. สติ ความรู้สึกตัว ความระลึกรู้ 4. สมาธิ ความตั้งมั่นของจิต ไม่หวั่นไหวต่อการกระทบสัมผัส 5. ปัญญา ความรู้เห็น ความเข้าใจ ความเข้าใจชีวิตที่เป็นอิสระ
อินทรีย์ของผู้ปฏิบัติทั้ง 5 ข้อนี้ แม้จะไม่แก่กล้ามากนัก แต่ก็ต้องอยู่ในระดับที่แก้ไขอารมณ์พื้นฐานตัวเองเป็น เช่น ติดความขี้เกียจ ติดความง่วง ความเชื่อ หรือความฟุ้งซ่าน รู้จักการประคองตัวรู้ได้บ้างแล้ว เพื่อการศึกษาเฝ้าดูที่ละเอียดมากขึ้นท่านจะให้เข้าห้องกรรมฐานแบบขังเดี่ยว ท่านเพียงจะคอยสอบและส่งอารมณ์ให้เท่านั้น ส่วนจะใช้เวลากี่วันอันนี้เป็นดุลยพินิจของครูบาอาจารย์ที่ดูแลการปฏิบัติ
วันหนึ่งๆ คนเราคิดปรุงแต่งไปร้อยแปดพันเก้า กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดประการ เช่น บางคนแม้ได้รับการฝึกฝนวิธีการฝึกจิตแบบอื่นมาแล้ว (อาจฝึกผิด ฝึกไม่จริง หรือฝึกน้อย) มารับคำแนะนำก็ยอมรับได้ แต่พอลงมือฝึกจิตเท่านั้นแหละ ความคิดปรุงแต่งเข้าเล่นงานขโมยหนีกลับก็มี ใช่ว่าจะได้ดีทั้งหมด
การที่เราจะนำหลักการสอนที่เป็นสูตรสำเร็จตายตัวตามที่เราคิดได้ แล้วไปสอนให้กับทุกๆ คนนั้น สำหรับพุทธธรรมแล้วไม่ใช่เลย พุทธธรรมนั้นเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยธรรมชาติ เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เฉพาะอารมณ์ เฉพาะสถานที่ เฉพาะเวลา เฉพาะจิตขณะนั้นๆ สรุปก็คือต้องดูที่ความพร้อมของเหตุปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน การสอนจึงสัมฤทธิ์ผลได้ง่าย (ดูเพิ่มเติมในมหาปัฏฐานสูตร) ตัวอย่างเช่น การสอนแบบเซ็น คือใช้วิถีจิตสู่จิต หมายถึงการสื่อความจริงจากจิตหนึ่งสู่จิตหนึ่ง ท่ามกลางความพร้อมแห่งเหตุปัจจัย ความตื่นโพลงของจิตก็ปรากฏออกมาได้ง่าย..อันนี้อยากจะยกให้ครูบาอาจารย์(บรมกัลยาณมิตตสูตร)ที่จะเขี่ยให้ถูกจุดลุกโพลงสว่างแจ้งในจิตของศิษย์ได้.
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น