ยินดีต้อนรับสู่...สถานที่แห่งการฝึกฝนตน พัฒนาจิต เพื่อชีวิตที่รู้แจ้ง  

บันทึก เมื่อครั้งหลวงตาอาพาธ 2

บันทึก : เมื่อครั้งหลวงตาอาพาธ
(ตอนที่ 2)
รศ. พญ. พรทิพย์  ภูวบัณฑิตสิน
สาขาตจวิทยา  ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
               
พระอาจารย์สุริยา(หลวงตา)ป่วยเป็นปอดอักเสบเมื่อปี 2549  ท่านได้รับการรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นาน 5 วัน  หลังจากหลวงตากลับอาการของหลวงตาทุเลาแต่ไม่หายขาดยังคงมีอาการผิดปกติ  ผู้เขียนได้ส่งยารักษาพยาธิตัวจี๊ดอีกขนาน คือ Ivermectin ให้หลวงตาฉันวันละ 1 เม็ด 3 วันติดต่อกัน ซึ่งยานี้ยังไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย  ผู้เขียนได้ยาจากเพื่อนซึ่งทำวิจัยยานี้ในโรงพยาบาลอายุรศาสตร์เขตร้อน  หลังฉันยาหลวงตาก็ไม่ได้บอกว่าหายขาดหรือเปล่า  ผู้เขียนเหมาเองว่าหายขาดแล้ว ส่วนผลสรุปอาการปอดอักเสบของท่านในครั้งนั้นก็ยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรแน่  กลายเป็นเรื่องลึกลับให้ผู้เขียนคิดปรุงแต่งได้อีกนาน
                  ผู้เขียนมาวัดอีกหลายครั้ง  ประมาณเดือนตุลาคม2550 ทราบว่าท่านมีน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 400 มิลิกรัม/มิลิลิตร  เป็นระดับที่สูงมาก  ท่านเคยตรวจเลือดที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์พบแค่ตับอักเสบ น้ำตาลอยู่ในระดับปกติ ในครั้งที่ท่านอาพาธครั้งแรกที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ก็พลาดไม่ได้วินิจฉัย 
เมื่อผู้เขียนทราบเรื่องเบาหวานของท่านก็เกิดความกังวลใจ  ในระหว่างเดินจงกรมก็คิดว่าจะพาหลวงตากลับมาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์อีกครั้ง  หลวงตาก็ไม่ตอบรับอะไร ท่านว่าท่านสบายดี  จนถึงวันกลับจึงวางได้ว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่หมอ  หลวงตาท่านดูแลตัวเองได้  เมื่อกลับมาทำงานได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเบาหวาน ท่านก็ขอให้นิมนต์หลวงตาขึ้นมากรุงเทพฯ ซึ่งคงเป็นเรื่องยาก  จึงส่งแค่เอกสารเรื่องการควบคุมอาหารถวายหลวงตาพิจารณาตามความเหมาะสม  ส่วนการรักษาคงต้องปล่อยให้แพทย์โรงพยาบาลรักษ์สกลเป็นผู้ดูแล  เท่าที่ทราบข้อมูลระดับน้ำตาลก็ยังคงสูง  ท่านฉันยาไม่สม่ำเสมอ การปรับขนาดยาก็ยังไม่ลงตัว
                ในช่วงปีใหม่ 2 ธันวาคม 2550  1 มกราคม 2551 ผู้เขียนได้ติดตามหลวงตาไปจาริกแสวงบุญประเทศอินเดีย ในระหว่างจาริกบุญหลวงตาบ่นว่ามือใช้งานไม่ค่อยได้  เท่าที่ทราบข้อมือขวาของท่านชามานานหลายปีจากผังผืดข้อมือรัดเส้นประสาท (capal tunnel syndrome) แพทย์หลายท่านแนะนำให้ผ่าตัดแต่ท่านก็ยังไม่ตกลง  เท่าที่ผู้เขียนได้ดูแลหลวงตามาหลายปีท่านจะไม่เคยแสดงว่าท่านมีปัญหาสุขภาพเลย คงไม่ต้องการแสดงให้ญาติธรรมกังวลใจ  และถ้าท่านบอกเล่าแสดงว่ามีอาการรุนแรงมาก  จึงได้กราบนิมนต์ให้เข้ารับการผ่าตัดหลังกลับจากจาริกบุญ  ท่านก็เฉยๆ ไม่ตอบรับก็คงอยู่กับปัจจุบันเช่นเคย  การคิดถึงอนาคตก็คงไม่มีประโยชน์  เสียเวลาคิด  ในระหว่างจาริกบุญก็ไม่ได้สนใจเรื่องสุขภาพท่านเพราะมีเรื่องของปัจจุบันสนุกเพลิดเพลินกว่า
                เมื่อกลับถึงสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 จึงกราบนิมนต์ท่านอีกครั้ง  ท่านตอบตกลงจะเข้าพักรักษาธาตุขันธ์ ท่านเข้าพักในตึกญาณสังวรชั้น 4 เป็นตึกเดียวกันกับครั้งแรกแต่คนละห้อง  การดำเนินการทางเอกสารเข้าโรงพยาบาลในครั้งนี้ทำได้รวดเร็ว  เพราะทุกคนในตึกญาณสังวรรู้จักหลวงตาหมด  ท่านเข้าห้องพักทันทีเมื่อถึงโรงพยาบาล  ส่วนงานเอกสารคุณพยาบาลช่วยจัดการให้ผู้เขียนก็สบายไป  และเพิ่งทราบเหตุผลว่าหลวงตายอมเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการปวดนิ้วชี้ข้างซ้ายไม่ใช่อาการปวดข้อมือขวา  เพราะท่านยังใช้งานมือขวาได้เมื่อสลัดข้อมือขวา  แต่นิ้วชี้ซ้ายจะปวดมากจนทำให้ไม่สามารถห่มจีวรได้  ท่านเข้าโรงพยาบาลในเช้าวันพุธที่ 2 มกราคม การเจ็บป่วยครั้งนี้เป็นโรคกระดูก  เป็นโรคของศัลยกรรมไม่ใช่อายุรกรรมซึ่งผู้เขียนสังกัดอยู่  ผู้เขียนจึงต้องหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาดูแลท่าน  ใจก็เกรงจะเกิดปัญหาเหมือนในครั้งแรกและยังอยู่ในช่วงปีใหม่แพทย์อาจหยุดพักยาว  ในใจก็คิดว่าควรปรึกษาหมอโรคกระดูกซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องข้อมือก็จะรักษาได้รวดเร็วกว่า  เท่าที่ผู้เขียนทราบและรู้จัก คือ รศ.นพ.อดิศร ภัทราดูรย์ ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะแพทยศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ท่านทำงานบริหารคงยุ่งหาตัวยาก  แต่ด้วยธรรมะจัดสรรในระหว่างที่พาหลวงตาเข้าห้องพัก  ผู้เขียนเห็นคณะผู้บริหารคณะแพทยศาสตร์เดินขึ้นตึกสามัคคีพยาบาลซึ่งอยู่ตรงข้ามกับตึกญาณสังวรที่หลวงตาพัก  คณะผู้บริหารคงขึ้นไปกราบขอพรปีใหม่จากพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชซึ่งอาพาธประทับอยู่ที่ตึกนั้น ผู้เขียนจึงไปดักพบคณบดีรออยู่ประมาณ 2 นาที ท่านก็เดินลงมาจึงเล่าเรื่องอาการเจ็บป่วยของหลวงตา  และเอ่ยปากว่าถ้าท่านมีเวลาก็ขอให้ช่วยเป็นธุระดูแลหลวงตาท่านก็ตอบตกลงด้วยความเต็มใจ  ทุกอย่างดูราบรื่นรวดเร็วลื่นไหล  ท่านได้ขึ้นมาซักประวัติและตรวจหลวงตาทันที เป็นแพทย์ท่านแรกและเป็นผู้เชี่ยวชาญโรคมือตรงกับปัญหาของหลวงตา  ท่านบันทึกประวัติการเจ็บป่วยของหลวงตาในแฟ้มและสั่งการรักษา  ท่านให้พยาบาลส่งหลวงตาไปให้ นพ.ประวิช ซึ่งท่านไว้ใจฝีมือการรักษาดูแลต่อ  ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่ายเพราะเป็นคำสั่งจากคณบดีผู้ซึ่งเป็นใหญ่สูงสุดของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
                1 ชั่วโมงหลังจากคณบดีตรวจหลวงตา  เจ้าหน้าที่ได้พาหลวงตาไปคลินิกหมอประวิชที่ตึก ภปร ชั้น 5 ก็คงเป็นเรื่องบังเอิญอีก  คุณหมอประวิชทราบจากพยาบาลว่าท่านคณบดีฝากให้ดูแลหลวงตา  เมื่อท่านดูแฟ้มหลวงตาก็รู้สึกดีใจเพราะท่านเพิ่งอ่านหนังสือการรู้ธรรมแบบรู้แจ้งจบเมื่อคืนและได้พบกับหลวงตาตัวจริงในตอนเช้า  คุณหมอได้ฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อรักษาการอักเสบของเอนนิ้วชี้ซ้ายและส่งตรวจคลื่นของเส้นประสาทข้อมือขวา  ผลพบว่าเส้นประสาทถูกผังผืดรัดจนรบกวนการทำงานของกล้ามเนื้อจำเป็นต้องผ่าตัด  และท่านก็ผ่าตัดให้ในวันรุ่งขึ้น หลังฉีดยานิ้วชี้ซ้ายหายเป็นปกติใน 2 วัน มีแต่รอยแผลผ่าตัดข้อมือขวาที่ต้องรอและคงจะตัดไหมที่สกลนคร 
ในวันศุกร์เย็นคุณหมอประวิชได้โทรศัพท์บอกพี่สาวซึ่งเป็นผู้ซื้อหนังสือของหลวงตาให้คุณหมอ  เธอมากราบหลวงตาพร้อมลูกชาย  ครอบครัวของเธอปฏิบัติธรรมกับยุวพุทธิกสมาคม  เธอมีความกังวลใจว่าลูกชายสามารถทราบอนาคตได้  หลวงตาได้พูดคุยและตอบปัญหาของหลานชายคุณหมอประวิชนานพอควร  เป็นที่ประทับใจแด่ครอบครัวพี่สาวคุณหมอประวิชอย่างสูง  เธอได้พาลูกและสามีมากราบหลวงตาอีกครั้งในวันเสาร์เช้า  คุณหมอประวิชและครอบครัวก็ได้มากราบหลวงตาในเช้านั้นด้วยกัน  และมีการนัดแนะจะไปปฏิบัติธรรมกับหลวงตา  ผู้เขียนก็สบายไปเรื่องข้อมือหลวงตามีหมอมารับผิดชอบต่อ  และท่านคงเป็นญาติธรรมที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระดูกต่อ  หลวงตาทำงานหนักมาก ธาตุขันธ์ท่านก็คงจะเสื่อมเป็นธรรมดา
                นอกจากเรื่องปวดนิ้วชาข้อมือหลวงตายังมีปัญหาฝีเรื้อรังที่หลังเท้านาน 1 เดือน ท่านเล่าว่าเป็นจากไม้ขนาดยาวแทงทะลุ  ท่านดึงไม้ออกแล้วแต่ยังคงมีหนองขังอยู่  ท่านเจาะหนองออกหลายครั้งแผลก็ยังไม่หาย  ปัญหาก็คงเป็นเรื่องทดสอบความสามารถของหมอผิวหนัง  ลูกศิษย์หลวงตา 3 ท่าน คือ ผู้เขียน  คุณหมอมาริษา  และคุณหมอณวดี  เนื่องจากหลวงตาเป็นเบาหวานโอกาสติดเชื้อจะสูง  และการติดเชื้อยังทำให้การควบคุมเบาหวานมีอุปสรรค  แต่จากการตรวจน้ำตาลก็สูงประมาณ 150-180 ท่านก็สบายดี  คุณหมอมาริษา  คุณหมอกิตติ์ได้ผ่าฝีและส่งเนื้อตรวจพยาธิวิทยา  ส่งหนองเพาะเชื้อโรคทุกชนิด  และสั่งยาปฏิชีวนะรักษา  ผลทุกอย่างปกติแต่หนองก็ขังอยู่เช่นเดิม  ในวันที่ 4 คุณหมอมาริษาได้ขยายปากแผลให้กว้างและลึกและอัดผ้าไม่ให้ปากแผลปิดเพื่อให้แผลหายจากก้นแผล  แต่หลวงตาก็บอกมาว่ายังคงมีหนองไหลออก  หลังจากกลับวัด 2-3 สัปดาห์มีเศษไม้หลุดออกมาแผลจึงหาย ท่านปรารภว่าอาการปวดมือ 2 ข้างหมอคนเดียวแก้ปัญหาได้ใน 3-4 วัน แต่แผลที่หลังเท้าก้อนขนาดเล็กๆ 1 ก้อนหมอผิวหนัง 3 คน วินิจฉัยผิดหมด สอบตกทั้ง 3 คน
                ในระหว่างพักรักษาตัวในครั้งนี้คุณเหมียวและคุณหมึกได้มาช่วยดูแลหลวงตาตลอด  มีญาติธรรม  แพทย์ นิสิตแพทย์  พยาบาลมากราบ  ท่านก็เทศน์ทั้งวันเช่นเดิม  แต่ผู้เขียนจะรู้สึกสบายกว่าครั้งแรก  เพราะปัญหาทางด้านการแพทย์แก้ไขได้เรียบร้อยรวดเร็ว  หลวงตากลับวัดในวันอาทิตย์  ก็เป็นการจาริกบุญร่วมกับการซ่อมธาตุขันธ์ในคราวเดียวกัน ส่วนปัญหาเรื่องเบาหวานยังคงแก้ไขไม่ได้เพราะหลวงตาท่านพิจารณาเอง  ก็เพียงแต่กราบเรียนท่านว่าเบาหวานทำให้อวัยวะหลายแห่งเสื่อมก่อนเวลาอันควร  การควบคุมระดับน้ำตาลได้จะช่วยให้ยืดอายุธาตุขันธ์
                ผู้เขียนได้ไปปฏิบัติธรรมที่เชียงรายโดยป้าตุ๊เป็นเจ้าภาพนิมนต์หลวงตาและพระภิกษุสงฆ์ไปปฏิบัติธรรมที่รีสอร์ทของป้าตุ๊  ป้าตุ๊เธอสร้างไว้เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น  เป็นอานิสงส์สูงสุดของป้าตุ๊ก็ขออนุโมทนา  หลวงตาไม่ได้เอายาควบคุมเบาหวานติดตัวมา  คุณพยาบาลที่โรงพยาบาลเชียงรายมาเจาะเลือดตรวจพบน้ำตาลสูงเกิน 400 จึงเกิดความวิตกกังวลรีบนำยามาถวายทั้งยาแผนปัจจุบันและสมุนไพรไทยและพม่า  หลวงตาก็ดูสบายดี  คงแสดงพระธรรมเทศนาแบบหลวงตาคือ ฟังง่าย  ลึกซึ้ง  สนุกสนานเช่นเดิม  เป็นที่ประทับใจของชาวเชียงราย  และหลายท่านก็ได้อารมณ์กรรมฐาน  หลวงตามาเชียงรายก็ประสบความสำเร็จเช่นเคย  ญาติธรรมหลายท่านพยายามหาที่เพื่อตั้งสาขาปฏิบัติธรรมหลวงตาก็สนใจที่จะมีสำนักสงฆ์ที่เชียงราย  ถามท่านว่าใครจะดูแล  ท่านก็ว่าท่านจะแบ่งเวลาเอง ก็คงต้องวางอีกเพราะปัญหาของท่าน  ปัญหาของผู้เขียนคือปฏิบัติให้อยู่กับปัจจุบันขณะ
                จากการดูแลปัญหาการเจ็บป่วยหลวงตาก็ช่วยให้ผู้เขียนพัฒนาจิตใจได้อีกระดับว่ากายและใจอยู่ด้วยกัน กายหรือธาตุขันธ์ซึ่งเป็นที่อยู่ของใจจะเสื่อมไปตามเวลาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ใจสามารถพัฒนา(ภาวนา) ให้ดีขึ้นได้  จึงป่วยแต่กายแต่ไม่ป่วยใจนั่นเอง
                                              *******************************************************
 ปล. การบันทึกเรื่องหลวงตาอาพาธภาค 2 ได้เรียนจบตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 ผู้เขียนก็เก็บดองไว้  จนกระทั่งทอดกฐิน 25 ตุลาคม 2552 จึงตัดสินใจลงใน web ให้ญาติธรรมอ่านคลายกังวล  ส่วนเรื่องปฏิบัติธรรมฉลองวัยเกษียณอายุเขียนไว้นานเช่นกัน ตั้งใจจะทำหนังสือคุณหมอพาเที่ยววัดท่องธรรมฉบับที่ 2 ภาคสมบูรณ์  แต่ก็ยังไม่ได้ทำ...ต้องวางตามที่หลวงตาสั่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น