ยินดีต้อนรับสู่...สถานที่แห่งการฝึกฝนตน พัฒนาจิต เพื่อชีวิตที่รู้แจ้ง  

ทำไมต้องเจริญสติด้วย "การเคลื่อนไหว"



ทำไมต้องเจริญสติตามดูการเคลื่อนไหว
 
           การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นธรรมชาติของชีวิต มนุษย์เราจะอยู่นิ่งโดยปราศจากการเคลื่อนไหวไม่ได้ การเคลื่อนไหวอิริยาบถ เป็นการช่วยเปลี่ยนถ่ายบรรเทาทุกขเวทนา ให้เกิดความสบาย หรือให้อวัยวะส่วนนั้นได้พักผ่อนพอที่สังขารนี้ดำเนินไปโดยไม่เป็นทุกข์มากนัก ซึ่งนี่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวส่วนเปลือกเท่านั้น  ยังไม่ใช่การเคลื่อนไหวของใจ
            แต่การเคลื่อนไหวของคนทั่วไป ส่วนมากเป็นไปตามสัญชาตญาณ เป็นไปตามความเคยชิน ความคิดอารมณ์ลากจูงไป  ไม่ได้มีการกำหนดรู้  ไม่ได้ใส่ใจหรือส่งใจไปรับรู้ทุกข์ที่เกิดการเคลื่อนไหวนั้น  จิตอยู่กับความคิดหรืออารมณ์ปรุงแต่งเป็นส่วนมาก 
           การเจริญสติ เป็นการทำให้สติมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  สติเจริญเติบโตเร็ว  มีพละกำลังเข้มแข็งสามารถรักษาจิตไม่ให้อ่อนไหวไปตามแรงของอารมณ์ที่กระทบ  ไม่ไหลไปกับผัสสะสิ่งยั่วย้อมมอมเมาทั้งหลายได้  เมื่อจิตอยู่กับกายก็เกิดเป็นสมาธิตั้งมั่น  สามารถเห็นธรรมชาติที่ปรากฏในกายและจิตนี้โดยไม่ถูกปรุงแต่ง  เรียกว่าจิตเกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริงได้

การเคลื่อนไหว ๕ แบบ
            ๑. การเคลื่อนไหวทางร่างกายที่เป็นอิริยาบถใหญ่  เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน
๒. การเคลื่อนไหวในอิริยาบถย่อย  เช่น  การหายใจ  การกิน  การดื่ม  การกระพริบตา  การคู้เหยียดอวัยวะ  การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ  การหลับ  การตื่น  เป็นต้น
           ๓.การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงจากสภาพธาตุขันธ์ในร่างกาย  เช่น  ร้อน  หนาว  เจ็บปวด  หิว  อิ่ม เมื่อย   เพลีย  เป็นต้น
           ๔.การเคลื่อนไหวทางจิต เช่น  จิตนิ่ง  จิตคิด  จิตไม่คิด  จิตปรุงแต่ง  จิตฟุ้งซ่านทะยานอยาก เป็นต้น
            ๕.การลื่นไหลของจิต  ที่ไหลไปสู่ความพอใจไม่พอใจ  ไหลไปสู่ราคะ  โทสะ  โมหะ  ความผูกพันผสมกลมกลืนของจิตที่ติดอยู่กับอารมณ์ที่ยากจะแยกออก  การเคลื่อนตัวหลุดพ้นจากสิ่งร้อยรัด

การปลูกฝังโพธิ
           การพัฒนาวัตถุจำเป็นต้องหาอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ช่วยเป็นเหตุปัจจัยให้บรรลุวัตถุประสงค์ฉันใด การเจริญสติก็จำเป็นต้องมีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ ท่านเรียกว่า “นิมิต” หรือเครื่องหมายในการปลูกฝังสติ  เพื่อตัวโพธินี้จะได้เจริญเติบโตแตกกิ่งก้านสาขา  ให้ร่มเงาและให้มรรคผลในที่สุด
            การปลูกพืชโดยทั่วไปนั้น ก่อนอื่นต้องมีการเพาะเมล็ดก่อน อาจเพาะในแปลงเพาะ  ในถุงดำ  ในกระถาง  หรือภาชนะอื่นใดก็ได้  สำคัญว่ามีองค์ประกอบคือดิน  แร่ธาตุต่างๆ ครบไหม  และอีกอย่างต้องเพาะไว้ในที่ร่มก่อนที่จะนำออกปลูกในที่แจ้ง
            สติเมล็ดพืชพันธุ์แห่งโพธินี้ก็เช่นเดียวกัน การเพาะก็ย่อมอาศัยพื้นที่เช่นกัน และกายนี้ก็เป็นพื้นที่เหมาะสมที่สุด เพราะเหตุว่าจะไม่ต้องมีการย้ายออกไปปลูกข้างนอกแต่ประการใด หากสติระลึกรู้อยู่กับกายมั่นคงดีแล้วก็ย่อมจะเจริญเติบโตเป็นร่มเงาให้สติย่อมเห็นจิตได้ เห็นทั้งกายที่เคลื่อนไหวและใจที่นึกคิดในคราวเดียวกันไปเลย  ไม่ใช่ทำทีละอย่าง  แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อสตินี้เป็นมหาสติเสียก่อน ดังเช่นพุทธดำรัสความว่าเมื่อเจริญกายคตาสติบริบูรณ์ย่อมทำให้สติปัฏฐานสี่บริบูรณ์ เมื่อทำสติปัฏฐานสี่บริบูรณ์ย่อมทำโพชฌงค์ให้บริบูรณ์  เมื่อเจริญโพชฌงค์บริบูรณ์ย่อมทำเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติให้บริบูรณ์ได้”
            สำหรับการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวนี้ จะเอากายและจิตเป็นนิมิตพร้อมกันไปเลย เพียงแต่ในเบื้องต้นเน้นย้ำให้ผู้ใหม่อย่าพึ่งด่วนไปดูความคิด ให้ประคองสติอยู่กับกายมากกว่าจิต สัดส่วนประมาณ ๗๐/๓๐ ต่อเมื่อสัมผัสอารมณ์รูปนามได้แล้ว การดูจิตเห็นจิตจะเป็นไปเอง...อาการเช่นนี้บอกให้เรารู้ว่าสมถะและวิปัสสนาแท้จริงแล้ว หากปฏิบัติถูกต้องจะเหมือนหัวงูกับหางงู มันไม่ได้แยกหรือแตกต่างอะไรกันเลย เพียงแต่เมื่อประคองความเพียรมีสมาธิก็เป็นสมถะ แต่พอมรรคสมบูรณ์การรู้แจ้งปรากฏก็เป็นวิปัสสนาตรงนั้นทันที

การเจริญสติตามรู้กายในกายในพระไตรปิฎก
           หลายคนอาจยังไม่คุ้นหูชินตากับรูปแบบของการเจริญสติแนวเคลื่อนไหว บางแห่งถึงกับยอมรับไม่ได้ที่จะสมาทานถือปฏิบัติก็มี แต่ก็คงเป็นธรรมดาสำหรับรูปแบบ เพราะนี้ไม่ใช่สัจธรรมของวิญญูชน  เป็นเพียงรูปแบบทางวัฒนธรรมเพื่อการปลูกฝังคุณธรรมคือสติสัมปชัญญะเท่านั้น  แต่ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตามก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยระยะเวลาในการปลูกฝังกันนานพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวเนื่องด้วยจิตใจ ความยึดถือ ความเคารพ  ความศรัทธาที่ปราศจากปัญญาแล้วยิ่งจะเปลี่ยนแปลงพัฒนาได้ยาก
           ผู้มีปัญญาต้องมองกรรมฐานทุกรูปแบบเป็นเพียงอุบายฝึกสติให้ระลึกรู้กาย เวทนา จิต  ธรรม เท่านั้น และมองที่อุบายไหนจะให้ได้สติสามารถนำมาแก้ทุกข์ได้จริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องลงมือพิสูจน์ และวิธีไหนที่จะเหมาะสมกับอินทรีย์ของตน  แต่สำหรับผู้ปฏิบัติที่ได้สัมผัสผลแล้วก็จะไม่มีปัญหาใดๆ ที่ต้องให้สงสัยอีกต่อไป
           การเจริญสติด้วยตามรู้อาการกาย เช่น การตามรู้ลมหายใจ (อานาปานสติทุกรูปแบบ  การรู้อิริยาบถน้อยใหญ่  การตามรู้อาการของอวัยวะสามสิบสอง  การตามรู้ความปฏิกูลของร่างกาย  การตามดูตามรู้อาการกายนี้เป็นเพียงธาตุสี่  หรือระลึกรู้ความเปลี่ยนแปลงของกายนี้เป็นอสุภะดุจซากศพในป่าช้าทั้งเก้า  เป็นการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน  หมวดว่าด้วยการมีสติตามรู้เห็นอยู่กับฐานกาย    หรือกายคตาสติ  หมายถึงสติระลึกรู้อยู่กับอาการกายทั้งสิ้น รู้  ณ  ที่ใดที่หนึ่ง  จุดใดจุดหนึ่ง  เพื่อให้เกิดการรู้ตัวทั่วพร้อมอันจะนำไปสู่ผลคือวิชชาและวิมุติในลำดับต่อไป
           การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวอิริยาบถ ที่มีการนั่งสร้างจังหวะและการเดินจงกรมจัดอยู่ในหมวดของอิริยาบถและสัมปชัญญะบรรพ แต่ความสำคัญของกรรมฐานทุกรูปแบบนั้นเป็นเพียงเครื่องมือให้ได้ตัวรู้  สติแบบปรมัตถ์  หรือมหาสติ  เป็นอาการรู้ตัวทั่วพร้อม  รู้ได้ทั้งกายและจิต
            สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะฯ ปัสสะสิสสามีติ  สิกขะติ   คือรู้ตัวทั่วพร้อม  รู้ทุกๆ อาการในร่างกาย  แม้ว่าจะหายใจเข้าออก  หรือเคลื่อนไหวอิริยาบถใด  สติจะรู้เท่าทัน  สติในวิปัสสนาจะเริ่มจากจุดนี้ไป และถูกพัฒนามาเป็นสมาธิแล้วนั่นเอง  เพียงเตรียมสู่การรู้แจ้งเท่านั้น  หรืออาจเกิดการรู้แจ้งได้ในขณะที่  “ ตัวรู้ ” เปลี่ยนสภาวะตรงนั้นเลยก็ได้
         หากสติได้รับการพัฒนาตามขั้นตอนกายาคตาสติอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะเกิดอาการของอารมณ์วิปัสสนาตามลำดับ     ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดรู้กับอาการกายส่วนใด     เจริญสติบรรพะไหนก็ตาม ,(ไม่ว่าจะเป็นอานาปานสติ  ตามรู้ลมหายใจ,กายคตาสติ  ตามรู้อิริยาบถ) จุดสตาร์ทต่างกันแต่เมื่อขึ้นสู่เส้นทางอารมณ์กรรมฐานได้แล้วก็จะเหมือนกัน ดังนี้
            ๑. ช้าก็รู้
            ๒. เร็วก็รู้
            ๓. เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม(สัพพะกายะปฏิสังเวที)
            ๔. เกิดความเอิบอิ่มใจ ปีติปะฏิสังเวที )
            ๕.. เกิดความสุขในขณะเคลื่อนไหวกาย สุขะปะฏิสังเวที )
            ๖. รู้ว่าจิตที่ปรุงแต่งสงบระงับแล้ว  จิตตะสังขาระปฏิสังเวที )
            ๗. รู้ว่าไม่ปรุงแต่ง  (จิตตะปะฏิสังเวที )
            ๘. รู้ว่าดับความปรุงแต่งให้สงบระงับอยู่ ปัสสัมภะยัง  จิตตะสังขารัง )
            ๙. รู้จิตในขณะเคลื่อนไหวด้วย (จิตตะปฏิสังเวที)
            ๑๐ .จิตจะเกิดปราโมทย์ (อภิปปะโมจจะยัง จิตตัง )
            ๑๑. มีสมาธิตั้งมั่น สมาทะหัง  จิตตัง )
            ๑๒ .เกิดการปล่อยวาง (วิโมจจะยัง จิตตัง )
            ๑๓. เห็นความไม่เที่ยง อนิจจา )
            ๑๔. ความจางคลาย   วิราคา)
            ๑๕. ความดับไม่เหลือ  นิโรธา)
            ๑๖. ความสลัดคืน ปฏินิสสัคคา )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น