ยินดีต้อนรับสู่...สถานที่แห่งการฝึกฝนตน พัฒนาจิต เพื่อชีวิตที่รู้แจ้ง  

หลวงตาตอบคำถาม



qa 231-240
๒๔๐.

ถาม
เวลานั่งสมาธิแล้วตัวโยกกับที่หลวงตาพูดว่าแผ่นดินไหวคืออะไรเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่
ตอบ
คำว่าแผ่นดินไหวในที่นี้ หมายถึง อารที่ธาตุขันธ์เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยวิปัสสนาญาณ รู้จักกันในหมู่ผู้ฝึกเจริญสติ เรียกกันง่าย ๆ ว่า “จิตพลิก”
๒๓๙.

ถาม
1. ผมเห็นต้นจิตแล้วมีอาการอย่างนี้ คือ เมื่อเริ่มคิดเห็น เริ่มปรุงแต่งก็เห็น เมื่อเห็นจุดเริ่มคิดนี่คือเกิดใช่ไหมครับ เมื่อสติจับได้มันก็หาย นี่คือดับใช่ไหมครับ
ตอบ
การเกิดดับมี 2 แบบ คือ แบบสมมติและแบบปรมัตถ์ ในแบบที่ 1 นั้นดับแล้วเกิดอีก แบบที่ 2 นั้นดับแล้วดับเลย
ตอนแรกอาการเกิดดับมันจะถี่มาก แต่ตอนนี้ความถี่ของอาการเกิดดับมันช้าลงๆ บางครั้งก็ไม่เกิด อยู่ว่าง ๆ อย่างนั้นแหละ
ตอนนี้สติผมมีกำลังมาก ผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่เกิดความคิด สติเห็นมันจะดับไปเลย ผมเปรียบมันเหมือนต้นไม้ที่ยืนต้นแล้ว มีใบใหม่เกิดขึ้นแล้ว เราเด็ดใบอ่อนมันทิ้งโดยที่มันไม่มีโอกาสเป็นใบโตได้เป็นอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง จนนาน ๆ จะมีเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าสติจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น แค่เริ่มแทงใบก็ถูกเด็ดแล้ว รู้สึกจิตนิ่งมากๆ แต่ก็มีบางครั้งยังมีอยู่แว็บหนึ่งเกิดขึ้นแล้วโตนิดหน่อยแล้วก็ถูกเด็ด ผมเข้าใจว่าต้นไม้ต้นนี้เมื่อถูกเด็ดใบบ่อยๆเข้าวันหนึ่งเมื่อมันไม่มีใบปรุงอาหารมันจะแห้งตายทั้งยืนนี่คือเกิดจากของจริงที่เกิดขึ้นกับตัวไม่ได้เอามาจากใคร
หลวงตา สาธุ
ถาม
2. ตอนนี้ผมเดินอยู่บนเส้นทางมรรคแล้วใช่ใหมครับ
ตอบ
เมื่อใดที่อยู่กับความรู้ตัว ผ่านนิวรณ์ จิตโปร่ง โล่ง – เบา รู้เท่าทันความคิดเกิดดับได้ คือ อาการของจิตที่เข้าสู่เส้นทางถาม
3. อยากให้อาจารย์สอบอารมณ์ผม
ตอบ
ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องจนติดลำต้น ก่นรากเหง้ามันออกไปได้หมดโน่นแหละจึงจะวางใจเป็นกลางได้แท้จริง
ถาม
4. ผมต้องทำอย่างไรต่อ ผมตอบตัวผมเองว่าให้ทำเหมือนเดิม ผมมั่นใจอย่างนั้นไม่ทราบว่าถูกผิดประการใด
ตอบ
ดูใจที่มันเฉย ไม่เฉย จิตที่มันแอบคิด สร้างสมมุติ หรือที่มันเกิด มันดับแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ถาม
5. ผมตอบตัวผมเองว่าให้ทำเหมือนเดิมผมมั่นใจอย่างนั้นไม่ทราบว่าถูกผิดประการใด
ตอบ
เข้าใจถูก
๒๓๘.

ถาม
หนูเคยปฏิบัติธรรมหลายรูปแบบ ดูลมหายใจ พุทโธ ยุบหนอ-พองหนอ แต่ไม่ต่อเนื่อง ตอนหลังได้ฟังMP3ของ อ.กำพล และได้ไปฟังธรรมหลวงพ่อคำเขียนเทศน์ที่ จ.เชียงใหม่ ก็เริ่มหัดเจริญสติแบบเคลื่อนไหว เพิ่งรู้จักหลวงตาทางอินเตอร์เน็ตหลังจากที่หลวงตาไปเปิดอบรมที่บ้านจันทน์ไม้หอมจ.ลำพูน หนูเจริญสติแนบเคลื่อนไหวก่อนนอนวันละ1 ชม.โดยจะฟัง MP3 ของหลวงพ่อคำเขียน ของหลวงตาไปด้วย อยากถามหลวงตาว่าฟังไปด้วยเจริญสติไปด้วย กับเจริญสติอย่างเดียวอย่างไหนจะดีกว่ากัน
ตอบ
ดูคำถาม ๑๖๐.
ถาม
พอครบ 1 ชม. หนูก็นอนประมาณเที่ยงคืน แต่ทำไมตอนเช้าหนูรู้สึกว่านอนไม่พอมันเพลียค่ะรู้สึกมึนหัว ตื่นประมาณหกโมงกว่าๆ ทั้งๆที่นอน 6 ชั่วโมง
ตอบ
แก้ที่กายก่อน นอนให้ตรงเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ ให้ชั่งใจตัวเองดีๆ ว่าไม่ใช่อาการของรูปกายแน่แล้ว ค่อยมาสังเกตเรื่องของจิต เฝ้ารู้เพียรภาวนา ชำระล้างใจไม่ให้สนิมกิเลสมาเกิด เพราะจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อนามโรค กิเลสไม่มีในจิตพักผ่อนหลับนอนนิดเดียวก็พอแล้ว.
๒๓๗.

ถาม
จิตที่อยู่ในภวังค์กับจิตดวงที่ออกจากร่างก่อนตาย ดวงเดียวกันหรือไม่
ตอบ
ไม่มีจิตอยู่หรือจิตออก นั่นเป็นเพียงอาการรับรู้ของจิตในภาวะต่างๆ กันเท่านั้น.
๒๓๖.

ถาม
จิตใจตอนนี้มีความรู้สึกเฉยๆกับทุกอย่าง มีความเบื่อหน่าย ความง่วงก็เข้ามา
ความขี้เกียจก็เข้ามา ทำอะไรรู้สึกไม่มั่นใจ ทั้งคำพูดและการกระทำ ไม่เหมือนกับตอนที่เราฝึกดูจิตใจให้มีแต่ความว่าง อะไรที่เข้ามากระทบเราจะรู้ทันปัญหา แต่ความรู้สึกเฉยๆแบบนี้ ดูจิตใจมันอยู่กับเราจะ2เดือนแล้ว ขอความเมตตาจากหลวงตาช่วยให้จิตใจดวงนี้กระจ่างแจ้งชัดเจนด้วยเจ้าค่ะ
ตอบ
เฉย 2 แบบ คือ 1. แบบขี้เกียจ 2. เฉยแบบรู้เท่าทัน...แบบที่หนึ่งนั้นเฉยไม่จริงเป็นโมหะจิตบวกกับโลภะจิต แต่แบบที่สอง เฉยเพราะรู้คุณ รู้โทษของความว่างไม่ว่าง เฉยแบบรู้เท่าทันนี่เป็นอาการของสติ สมาธิหรือโสภณจิต.
๒๓๕.

ถาม
นมัสการพระอาจารย์ ไม่ทราบว่าพระจากวัดอื่นจะเข้าปฏิบัติที่วัดป่าโสมพนัสได้ไหมคะ พอดีน้องเพิ่งจะบวช แล้วอีกประมาณ 1เดือนพระจากวัดธรรมกายจะไปที่วัดที่น้องบวชอยู่ กลัวว่าถ้าปฏิบัติไปทางสายสมถะจะทำให้กู่ไม่กลับ เพราะตอนนี้มีปัญหาหูแว่วจะต้องกินยาอยู่ แม่บอกว่าอาการจะเป็นเฉพาะตอนที่นอนไม่หลับก็เลยคิดว่าถ้าได้ปฏิบัติทางเจริญสติแบบของหลวงพ่อเทียนน่าจะช่วยได้มากกว่า
ตอบ
ปฏิบัติจากวัดอื่นแล้วมาโสมพนัสได้ หูแว่วสมุฏฐานมาจาก 2 สาเหตุ คือเป็นโรคจิต คือความผิดปกติของสมองหรือระบบประสาทจริงๆ กับโลกวิญญาณคืออุปาทานในผัสสะ มิจฉาทิฐิต่อปรากฏการณ์.
๒๓๔.

ถาม
1. เวลาเดินจงกรม เราควรกำหนดความรู้สึกตัวที่ตรงไหน ตรงเท้าที่สัมผัสพื้น หรือตรงขาที่มันเคลื่อนไหวหรือกำหนดทั้งตัว
ตอบ
จากน้อย, ไปหามาก , ทำได้แค่ไหนก็เริ่มจากนั้น
ถาม
2. เวลาสร้างจังหวะมือ ควรกำหนดที่ตรงไหน ตรงมือหรือแขน หรือทั้งมือและแขนที่มันเคลื่อนไหว
ตอบ
คำตอบเดิม
ถาม
3. ความรู้สึกตัวที่เป็นสติกับเวทนากาย ต่างกันอย่างไร
ตอบ
เวทนาทางกายก็เช่น เจ็บ ปวด เมื่อย เย็น ร้อน สติก็เห็นอาการที่มันเป็นไงล่ะ
ถาม
4. คนเราควรนอนวันละกี่ชั่วโมง, เวลานอนควรกำหนดตรงไหน, ทำอย่างไรเวลาตื่นขึ้นมาแล้วถึงไม่ง่วง
ตอบ
แล้วแต่เหตุปัจจัยของธรรมและสังขาร , มีสติให้ชัด, จิตไม่ง่วง
ถาม
5. เจริญสติให้ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ติดต่อกัน 2 วันแล้วหยุด 5 วัน กับเจริญสติวันละ 3 ชั่วโมง 7วันแต่ไม่ต่อเนื่อง อันไหนดีกว่ากัน
ตอบ
อันไหนเกิดปัญญาแก้ปัญหาทุกข์ได้อันนั้นแหละดีกว่า
ถาม
6. ผมเป็นคนคิดมากขนาดเพ่งจ้องแแล้วมันยังคิดอยู่เลย ไม่รู้จะรู้สึกตัวที่ตรงไหนถึงจะออกจากความคิดได้เหมือนกับว่ายิ่งเจตนารู้สึกตัวมากๆมันยิ่งคิดมาก
ตอบ
รู้กาย รู้จิต รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจนึกคิดก็พอ
ถาม
7. ครั้งสุดท้ายที่ไปปฏิบัติที่วัด ก่อนจะกลับบ้านพอดีผมมองไปเห็นครูบาท่านหนึ่ง แล้วท่านก็มองดูผม หลังจากนั้นท่านก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมไม่ทราบว่าท่านต้องการจะสื่ออะไร
ตอบ
กลับไปถามท่านเอาเองเถอะ
ถาม
8. การแก้ปัญหาเอาเองกับให้ครูบาอาจารย์แก้ปัญหาให้อันไหนดีกว่ากัน
ตอบ
ต่อไปเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัตินะครับ
ถาม
1.เคยได้อ่านในหนังสือของหลวงตาที่มีทัศนะเกี่ยวกับเรื่องอภิปรัชญา ในหนังสือเขียนว่าผลของการปฏิบัติตามแนวทางนี้มีข้อหนึ่งคือหมดความสงสัยในเรื่องอภิปรัชญา ผมอยากทราบว่า ที่ว่าหมดความสงสัยนั้นหมายถึงเราทราบคำตอบของคำถามนี้หรือหมายความว่าเราไม่ทราบคำตอบ เพียงแต่คำถามนี้มันหายออกไปจากจิตเรา เราไม่ต้องการรู้คำตอบของมันอีกต่อไป ?
ตอบ
ทั้งสองอย่าง
ถาม
2.เกี่ยวกับเรื่องอภิญญา มนุษย์ที่บรรลุธรรมพ้นทุกข์แล้วสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้หรือไม่?สามารถมีหูทิตย์ ตาทิพย์ล่วงรู้อนาคตได้จริงหรือไม่ ?
ตอบ
จริง
ถาม
3. หลวงตาคิดว่า UFO มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ ?
ตอบ
ไม่มีความคิด
ถาม
4. ปี 2012 โลกจะแตกจริงหรือไม่ ?
ตอบ
ไม่มีความคิด
ถาม
5. เคยได้ยินหลวงตาบอกว่าความว่างมีอยู่ 3 อย่าง คือ 1.ว่างจากความคิด 2.ว่างจากอุปทาน 3.ว่างจากอาสวะ ทั้ง 3 อย่างมีความแตกต่างกันอย่างไร ช่วยอธิบายเพิ่มด้วยครับ
ตอบ
ว่างจากความคิด คือ จิตทั่วไป เช่นหยุดคิด ได้คิด แม้ไม่คิดแต่ก็ยังติดยึด...ว่างเป็นครั้งคราว
ว่างจากอุปทาน คือ ไม่ยึดถือ ยึดมั่นผูกพัน อันเป็นเหตุให้จิตหมดอิสรภาพ... แม้ไม่ยึดมั่นผูกพันแต่ก็เหลือเชื้อ
ว่างจากอาสวะ คือ ว่างจากความว่าง ว่างโดยไม่เหลือเชื้อ...ว่างแบบนิพพาน.
๒๓๓.

ถาม
เวรกรรมมีจริงหรือไม่ ทำไมคนทำชั่วกับบุพการีทั้งกายและวาจาเป็นเวลาที่ยาวนานทำให้ท่านทุกข์ทรมานอยู่ทุกวันนี้ ทำไมเขายังไม่ใด้รับผลกรรมใดๆเลยหรือต้องรอให้ท่านรับกรรมเสียเอง
ตอบ
มีจริง, ที่เห็นเช่นนั้นเพราะยังมีกรรมบางชนิดมาคั่นให้อยู่... ตามจริงคนทำกรรมนั้น กรรมมันให้ทุกข์ทั้งที่ก่อนทำ ขณะทำ และหลังกระทำกรรมนั้นอีกด้วย คือเป็นการให้ผลเป็นทุกข์ทางด้านจิตใจไงล่ะ.
๒๓๒.

ถาม
ผมเจริญสติแบบเคลื่อนไหวจนแยกรูปกับนามได้แล้ว ก่อนหน้านั้นผมเคยฝึกเพ่งมาจนเกิดเป็นจักกระ เวลาผมรู้สึกตัว จักกระก็เคลื่อนเข้ามากลบจนแทบแยกกันไม่ออก จนความรู้สึกตัวนั้นหายไปอยู่กับจักกระแบบนี้ใช้ได้ไหมครับ
ตอบ
ให้สติเป็นผู้รู้เห็นกายเคลื่อนจิตคิดให้ชัดเจน เห็นสักแต่ว่าเป็นอาการเกิด-ดับ,สติประคองจิตไม่ให้หลุดเข้าไปอยู่ในปรากฎการณ์นั้นเท่านั้น.
๒๓๑.

ถาม
โยมอยากบอกเล่าว่าการปฎิบัติระยะนี้ โยมมีความรู้สึกเช่นนี้ อย่างตื่นเช้ามาจะเข้าห้องน้ำ ตอนไปหยิบทิชชุ่แล้ววางลงแรงๆ โยมรู้สึกถึงความแรงความหยาบของมือของใจ ต่อจากนั้นรู้สึกไม่พอใจต่อความหยาบอันนั้น แล้วก็รู้สึกถึงความไม่พอใจอันนั้นจากนั้นความรู้สึกก็จางไป อาการแบบนี้จะเป็นอยู่เป็นช่วงๆเมื่อรู้สึกตัว เพราะโยมจะดูใจตัวเองอยู่บ้าง สังเกตความรู้สึกไม่พอใจอยู่บ่อย เหมือนสิ่งนี้เป็นตัวเด่นที่จะฝึกใจได้เมื่อจิตไม่เผลอถลำลงไปตามอารมณ์ไป แต่ก็มีบ่อยอีกเหมือนกันที่โยมตามไม่ทันจนเป็นอารมณ์เป็นทุกข์ไปแล้ว แต่ก็เก็บมาคิดแก้ไข อาจเพราะโยมมีเป้าหมายค่ะ สาธุสำหรับคำตอบค่ะ
ตอบ
ยังไม่เห็นประเด็นคำถามเลยนะ แต่การที่เราสังเกตอารมณ์ตัวเองอยู่สม่ำเสมอ จะเห็นข้อบกพร่องที่ต้องเอาสติไปเติมให้มันเต็มได้นั้งแหละคือสัมมาทิฎฐิเห็นถูก.
ไม่มีความคิดเห็น:
qa 221-230
๒๓๐.

ถาม
พระนิพพานเป็นอย่างไร
ตอบ
คือ อนัตตา ไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ ดับทุกข์ได้สนิท ไม่มีเรื่องใดๆ รบกวนจิตใจสักกระติ๊ดเดียวเลย.
๒๒๙.

ถาม
1.หากเราไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินี้ แล้วที่เราฝึกปฏิบัติไปจะไม่เป็นการเสียเปล่าหรือ ถึงแม้ว่าเมื่อเราฝึกปฏิบัติไป ก็จะแก้ทุกข์ได้ ชีวิตมีความสุข เบาสบายขึ้น แต่เมื่อเรายังไม่บรรลุธรรมแล้วตายไป เราจะได้อานิสงส์จากการปฏิบัติยังไงบ้าง เพราะอย่างทรัพย์สินเงินทอง เราหามายากแต่พอตายไปแล้วเราก็เอาไปด้วยไม่ได้ แล้วอานิสงส์จากการปฏิบัตินี้จะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า หากตายไปแล้วทุกอย่างก็จบแล้วเราจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร
ตอบ
ปฏิบัติธรรมเพื่อให้รู้เห็นเข้าใจธรรมชาติของชีวิต เข้าใจเห็นแจ้งถึงเหตุปัจจัยที่สร้างทุกข์สุขให้ กับชีวิตเรา รู้จักวิธีการ รักษาชีวิตไม่ให้เป็นทุกข์ได้,ส่วนเรื่องหลังความตายนั้น เอาไว้เมื่อมีประสบการณ์จะเล่าให้ฟังอีกที
ถาม
2.ตอนนี้ผมอยากไปบวช ผมอยากเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติ แต่ผมก็ยังสับสนอยู่มากๆ เพราะได้ปรึกษากับหลายคน บางคนก็ว่าอยู่ใช้ชีวิตอย่างนี้ก็บรรลุธรรมได้ เพราะมีเรื่องให้ได้ทดสอบจิตตลอดว่าเราปฏิบัติก้าวหน้าไปถึงไหน แต่ถ้าไปบวชก็อยู่กับความสงบ อยู่กับอะไรเดิมๆ ไม่มีอะไรมาทดสอบ แต่เมื่อผมศึกษาดูในประวัติพระอริยะแล้ว ก็เห็นมีแต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์เท่านั้น ผมจึงมองว่าฆราวาสก็บรรลุธรรมได้ก็คงจะมีมั้ง แต่คงต้องเป็นคนที่มีบารมีอินทรีย์แกร่งกล้าจริงๆ ไม่อย่างนั้นพระอริยะที่มีชื่อเสียงคงไม่มีแต่พระสงฆ์เท่านั้น ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกไหม ถ้าผมเข้าใจถูก ผมจะได้ตัดสินใจไปบวช แต่ถ้าผมเข้าใจผิดก็จะได้ฝึกปฏบัติอยู่อย่างนี้ต่อไป
ตอบ
บวช บวช บวช บวชดีกว่าจริงๆ.
๒๒๘.

ถาม
โยมต้องขออภัยหากเป็นคำถามซ้ำ เพราะโยมอยากถามมากว่าโยมรู้สึกมีความสุขมากขึ้นตั้งแต่ปฎิบัติแบบหลวงพ่อเทียน ท่านสอนให้เจริญสติ ยกมือสร้างจังหวะ ให้มีสติอยู่กับกาย โยมก็เลยอยาก(อีกแล้วค่ะ)ให้ลูกมีความสุขแบบนี้บ้าง แต่ลูกไม่ยินดี ก็เลยคิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาของเขา หรือยังไม่ศรัทธา หรือไม่ก็มีอะไรพลาดซักอย่าง กราบขอคำแนะนำค่ะ
ตอบ
พยายามทำใจให้เย็นเป็นปกติ และจะเป็นฐานสร้างปัญญามองเห็นปัญหาตนและคนอื่นด้วย และจะช่วยเขาได้ไม่ยาก.
๒๒๗.

ถาม
เวลาเป็นไข้มีอาการหนาวสั่นจะเจริญสติอย่างไรดี
ตอบ
ดูมัน ดูอาการที่มันเป็น อย่าให้ใจเราไปตามมัน.
๒๒๖.

ถาม
กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าจากคำถามข้อ 233. (เหตุการณ์ที่หลังคาโรงรถถล่มทับที่จอดรถประจำ แต่วันที่หลังคาถล่ม กลับไม่ได้จอดรถตรงนั้น ) แสดงว่ามันเป็นแค่เหตุบังเอิญเท่านั้นใช่ไหมครับ
ตอบ
ใช่
ถาม
ผมลองมาปฏิบัติตามแนวนี้เมื่อไม่นานครับ แต่ทำไมปฏิบัติไปปฏิบัติมามันทำให้ผมเกิดความเบื่อหน่าย ท้อถอย หมดกำลังใจทำ ขี้เกียจไม่อยากทำอะไรไปเสียเฉยๆ จนบางครั้งอยากจะเลิกปฏิบัติไปเลย จะแก้อย่างไรครับ
ตอบ
เป็นกิเลสอนุบาลที่เกิดกับนักเรียนใหม่ทุกคน,ปลุกธาตุรู้สร้างขวัญกำลังใจให้กับตัวเองเสมอๆหรือไม่ก็ไปหากัลยาณมิตรครูบาอาจารย์ช่วยแก้อารมณ์ให้ จะได้ไม่หลงจมอยู่ในอารมณ์ได้นานๆ , หรือให้ระลึกเสมอว่ากิเลสทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง หากความเพียรเรามีมาก พอฝืนอีกสักพักมันก็จะดับหาย.
๒๒๕.

ถาม
การดูลมหายใจเป็นอาการอย่างหนึ่งของกายในกายคตาสติใช่หรือไม่
ตอบ
ใช่
ถาม
แล้วคนที่เจริญอานาปานสติ ก็คือคนที่เฝ้าดูอาการกายเหมือนกับที่เราดูกายเคลื่อนไหวหรือกำหนดรู้สึกที่กายใช่หรือไม่ แล้วต้องทำขนาดไหนถึงจะพ้นทุกข์
ตอบ
ใช่, ทำจนรู้จักทุกข์ตามความเป็นจริง รู้เหตุของการเกิดทุกข์ รู้ภาวะของจิตไม่ทุกข์ ว่ามีอยู่เห็นอยู่สัมผัสได้ รู้วิธีปฏิบัติทำลายคลายทุกข์ได้อย่างถาวรโน่นแหละ.
๒๒๔.

ถาม
ผมเริ่มนั่งสมาธิมานานตั้งแต่เป็นเด็กวัด และเพิ่งเริ่ม เจริญสติมาได้ประมาณ 3 ปีแบบไม่มีแบบแผน แต่ก็ศึกษาจากสื่อต่างๆ วิธีที่เจริญ คือลุก เดิน ยืน นั่งนอน ผมมีเรื่องไม่เข้าใจสองสามประการ ขอเรียนถาม
1.มีอยู่ว่าทำไมผมจึงไม่มีความคิดใดๆเลย เวลาคิดก็คิดเรื่องงานแล้วก็จบ ก็จะมาอยู่กับลมหายใจ ไม่ห่วงพ่อ ไม่ห่วงแม่ ไม่ห่วงครอบครัว เหมือนแต่ก่อน เวลาคิดก็จะเห็นความคิดของตัวเองก่อน เขาเรียกว่าเห็นต้นจิตหรือเปล่า
ตอบ
ต้นจิตคือจุดหรือภาวะก่อนที่มันจะคิดหรือปรุงแต่งหรืออีกนัยหนึ่งก็คือความว่าง ความรู้ตัวทั่วพร้อมชัดๆ นั่นเอง
ถาม
2.เวลาจิตมันปรุงแต่งแค่เริ่ม เมื่อสติจับได้และเห็น ตัวปรุงแต่งมันก็แตก รู้สึกเหมือนแก้วแตกกระจาย หาเศษไม่มี แล้วเวลาโกรธ แค่เริ่มนิดเดียวมันก็รู้สึก แล้วความโกรธมันก็แตกกระจาย รู้สึกเป็นอย่างงั้นจริงๆ เป็นเพราะอะไร หรือเป็นเพราะเราไปกดมันไว้หรือเปล่า หรือว่ากิเลสมันเริ่มดับแล้ว หรือเป็นเพราะกำลังของสติของเรามีกำลังมากขึ้น
ตอบ
เป็นเพราะประเด็นหลังมากกว่า
ถาม
3.ตอนนี้จิตนิ่งมากมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวทั้งเวลางานและนอกเวลางาน ถึงเวลาคิดก็คิด พอหมดเวลาคิดก็อยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย พอหยุดการเคลื่อนไหวของกายก็จะมาอยู่ที่ลมหายใจเป็นอาการอะไรหรือ
ตอบ
สมาธิ
ถาม
4.เวลาเรานั่งสมาธิแล้วเห็นลมหายใจวิ่งเข้าออกแต่มันเป็นสีใสๆ เหมือนแก้วเข้าออก แล้วต้องทำอย่างไรต่อหรือว่าให้ดูเฉยๆ บางครั้งเราแผ่เมตตาให้เขาให้สัตว์โลก
มันก็จะสว่างมากขึ้นและสว่างมากขึ้นจนครอบตัวเรา แล้วมันก็ใหญ่ขึ้นทั่วห้องนอนผมเลย ผมเคยตกใจหลายครั้งเพราะคิดว่ามีใครมาเปิดไฟ แล้วพอลืมตาก็มืดเหมือนเดิม
ตอบ
ลืมตาทำจะดีกว่า ง่ายกว่า ดูทุกอย่างจนเห็นไตรลักษณ์ในทุกอารมณ์
ถาม
5.เวลานั่งสมาธินานๆแล้วทำไมลมหายใจเราหายไปเหมือนจะไม่มีแต่ก็ยังมีอยู่แต่น้อยมาก แต่ก่อนที่ลมหายใจจะหาย มันจะเริ่มลดลมหายใจจากมากไปหาน้อย ประมาณสักยี่สิบนาที จะเริ่มหายเกือบหมดมีอยู่แต่น้อยมากๆๆ หูได้ยินเสียงแต่น้อยมากเป็นอาการของอะไรครับ มีอีกหลายอย่างอยากถามแต่พอแค่นี้ก่อน กราบนมัสการลาครับ
ตอบ
กายละ สังขารสงบระงับ.
๒๒๓.

ถาม
เรื่องจริงที่เกิดกับผม คือว่าโรงจอดรถของสำนักงานที่ผมทำงานอยู่ โครงสร้างทำด้วยเหล็กหนักมาก และทุกครั้งที่ผมไปทำงาน ผมจะต้องเอารถเข้าไปจอดตลอด อยู่มาวันหนึ่งผมมีความรู้สึกไม่อยากเอารถเข้าไปจอดเลย และแล้วในเวลาต่อมา หลังคาโรงรถก็ถล่มพังลงมาทับรถเสียหายไปหลายคัน รถของผมรอด เพราะไม่ได้เข้าไปจอด สำหรับรถที่พัง บางคนไม่เคยเข้าไปจอด แต่วันเกิดเหตุ ดันเข้าไปจอดจึงพัง อีกเรื่องหนึ่งเกิดกับคนอื่นคือขณะรถเกิดอุบัติเหตุ เขารู้สึกตัวดี เขากำหนดสติว่า "เห็นหนอ""ชนหนอ" แล้วเขาก็จับเก้าอี้ไว้แน่น แต่ด้วยแรงเหวี่ยงของรถ ทำให้ตัวเขากระเด็นออกนอกรถ แต่กลับรอดได้อย่างปลอดภัย สำหรับคนอื่นบ้างก็เจ็บ บ้างก็ตาย พระอาจารย์จะอธิบายทั้ง 2 เรื่องนี้อย่างไรครับ โดยผู้ประสบเหตุทั้ง 2 รายนี้ปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐานสี่ครับ
ตอบ
อธิบายด้วยภาพนั้นลึกซึ้งเป็นจริงยิ่งกว่าอาตมาจินตนาการโดยแท้ ก็เพราะคิดไม่เข้าไปจอด มันก็เลยไม่ทับ เพราะบางคนไม่เคยจอด แต่ก็คิดเอาเข้าไปจอด เลยถูกทับ เพราะเขาพียงแต่เห็นหนอ โดยลืมเดินออกให้ห่างหนอ เลยได้รับบาดเจ็บ แต่มันกระแทกน้อยเลยรอดได้ แต่คราวหน้าไม่แน่ และที่อยากให้แน่ คืออย่าให้มีคราวหน้า.
๒๒๒.

ถาม
ผมฝึกสติแบบเคลื่อนไหวเข้าปีที่ 3 ตอนนี้ก็ฝึกเองที่บ้านทุกเช้าตี 4 ถึง 6 โมงครึ่งประจำ อยากเรียนถามหลวงตาดังนี้ เคยผ่านอารมณ์การปฏิบัติมาหลายอย่าง ในระยะ1 ถึง 2 เดือนนี้ เกิดปิติอย่างแรงภายในจิตใจ ชนิดที่เกิดความรู้สึกเย็นมาจากข้างใน อิ่มอกอิ่มมใจตลอด และเหมือนกับจิตเรายิ้มอยู่ตลอดเวลา เป็นระยะหนึ่ง ก็ฝึกสติเพื่ออยู่กับปัจจุบัน จนปิติที่ว่าหายไป ต่อมาก็มองเห็นการเกิดดับของจิตชัดเจนขึ้น เวลาเกิดอารมณ์หรือความรู้สึกกับผัสสะใดๆ พอมองเข้าไปข้างในก็จะเห็นอาการของจิตชัดเจน เหมือนกับว่าเราสื่อสารกับจิตได้ อารมณ์ขุ่นมัวกับคนหรือสิ่งรอบกายก็ไม่มีหรือมีก็เบาบางมากๆผมจะต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ครับ
ตอบ
ระลึกรู้ ดูจิตหรือความคิดหรือธัมมารมณ์เกิดดับให้ถี่ขึ้น.
๒๒๑.

ถาม
ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าการอุปสมบทจะได้บุญมากทั้งพ่อแม่และตัวผู้บวชเองใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นสมมุติว่าไม่ได้อุปสมบทแต่นุ่งชุดขาวปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานสี่เป็นเวลา 7 วัน กับผู้ที่อุปสมบทตามประเพณีเป็นเวลา 7 วันโดยไม่ได้ปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานสี่เลย เพียงสวดมนต์ทำวัตรเช้า– เย็น อย่างไหนจะได้บุญมากกว่ากันครับ
ตอบ
พุทธศาสนาเน้นการพ้นทุกข์ (นิพพาน)พิธีกรรมทุกอย่างล้วนมุ่งเน้นสู่เป้าหมายเดียวกัน , สติปัฏฐานคือหลักปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ หากแม้ยังเป็นทุกข์อยู่จะเป็นบุญได้อย่างไร , บุญคือความพ้นทุกข์นั่นเอง
ถาม
อีกเรื่องครับการที่ลูกด่าว่าเราแล้วเรากำหนดสติคำว่า "ยินหนอ" "ยินหนอ" (ได้ยินหนอ) แล้วลูกก็ไม่ด่าเรา พอวันใหม่ก็ด่าเราอีก เราก็กำหนดอีก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พระอาจารย์ว่ามันเป็นกรรมสมัยตอนเราเป็นเด็กที่ด่าว่าพ่อแม่ไว้หรือเปล่าครับ
ตอบ
หากเราด่าให้เขาเห็นแล้วจดจำมาด่าเราก็เกี่ยว แต่หากเกิดขึ้นเพราะจิตอกุศลเขาเองเป็นปัจจัยขณะนั้นๆ อันนี้ก็ไม่เกี่ยว
ถาม
แล้วลูกที่ด่าเราลูกจะบาปไหมครับ
ตอบ
บาปคืออกุศล มีผลเป็นทุกข์ มีโมหะ โลภะ โทสะ เป็นเหตุปัจจัย อาจสนองช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับปริมาณของกิเลสซึ่งเป็นปัจจัยหลักและสภาพสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยเสริม
ถาม
แต่ถ้าสมมุติว่าลูกไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเราเคยด่าพ่อแม่ไว้ กรรมนี้มันจะตามเรามาให้ลูกด่าไหมครับ
ตอบ
พุทธศาสนากล่าวถึงกิเลส กรรม วิบาก เป็นเรื่องของปัจจุบันขณะ ภพนี้ ชาตินี้ ทฤษฎีกรรมคือการกระทำในแต่ละขณะๆว่ามีเจตนาด้วยกุศลหรืออกุศล หากไม่มีก็ไม่ใช่กรรมเวร ไม่มีผลตอบสนอง เป็นเพียงกิริยารูปนามเท่านั้น
อย่ามัวคิดแต่แต่จะยกให้เป็นเรื่องของกรรมเลย ลองไปฝึกฝนทวนกระแสอยู่เหนือกรรมดูบ้างสิ หากคิดเช่นนั้นก็คงไม่มีการฝึกฝนอบรมอะไรกันเลยสิคุณ เป็นคนก็ต้องฝึก เป็นวัวควาย แมวหมาก็ต้องฝึกทวนกระแสสัญชาติญาณกันทั้งนั้นแหละ ฝึกอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ยิ่งมนุษย์ด้วยแล้วฝึกให้เป็นคนดี คนชั่ว ทำบาปกรรม พ้นกรรม เหนือกรรม ตั้งแต่นรกอเวจี สู่มหาสวรรค์ชั้นปรินิมฯจนถึงพระนิพพานกันได้เลยทีเดียว...ปล่อยวางเรื่องเช่นนั้นไว้ แล้วไปปฏิบัติวิปัสสนาแสวงหาปัญญาทำลายสังโยชน์สงสัยนี้กันเถอะ
ถาม
ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์อีกว่าบุคคลธรรมดาหากปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานสี่ไปเรื่อยๆจะเข้าถึงพระนิพพานได้ช้า - เร็วขนาดไหนครับ
ตอบ
ก็แล้วแต่อินทรีย์แก่กล้าขนาดไหน
ถาม
หากบุคคลใดเข้าถึงพระนิพพานแล้วจะมีหลักสังเกตได้อย่างไร
ตอบ
กิน ขี้ ธรรมดานี่แหละ แต่ใจไม่ทุกข์ แล้วเธอจะสังเกตใจท่านได้อย่างไร หากไม่ฝึกใจให้เป็นอย่างท่าน
ถาม
หรือหากเราเข้าถึงพระนิพพานแล้วเราจะมีอารณ์อย่างไร
ตอบ
ไม่มีอารมณ์
ถาม
อารมณ์จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติหรือไม่ครับ จะสังเกตตัวเองได้อย่างไร
ตอบ
เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตัว เห็นได้ด้วยตนเอง
ถาม
แล้วทำไมผู้ที่เข้าถึงนิพพานแล้วจึงต้องบวชด้วยครับ
ตอบ
เพราะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไร รู้แจ้งชัดแล้วว่าตัวเองทำอะไร เพื่ออะไร และไม่มีอะไรที่จะทำเพื่อตัวเองอีกแล้ว ท่านเปี่ยมด้วยอริยทรัพย์ หยุดการแสวงหา เปลี่ยนมาทำหน้าที่ผู้ให้แสงสว่างกับชาวโลกแล้ว...หน้าที่พระสงฆ์สะดวกดีแล้ว.
ไม่มีความคิดเห็น:
qa 211-220
๒๒๐.

ถาม
หนูอยากทราบว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับหนูตอนนี้คืออารมณ์ชนิดใดคะ หนูคุยโทรศัพท์กับเพื่อน อยู่ๆหัวสมองก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะเหมือนมีความคิดบางอย่างจะผุดขื้นมา แต่ยังไม่ทันจะรู้ว่าคิดอะไร ดีหรือร้าย ความรู้สึกก็ว่างเหมือนเดิม สิ่งนี้เร็วมากค่ะ บางครั้งเพื่อนหนูบ้าจี้ และเพื่อนอีกคนแกล้งเขา หนูอยู่ใกล้เลยโดนตบหน้า แต่หนูกลับไม่รู้สึกเจ็บค่ะแต่กลับเหมือนได้ยินเสียงวัตถุกระทบกันแทน
ตอบ
ก็จิตว่างตามธรรมชาติเกิดได้ในหลายๆกรณี เช่น ว่างเองโดยธรรมชาติ ว่างเพราะลืมคิด และว่างเพราะเห็นทุกข์โทษของความคิด ว่างเพราะเห็นอนิจจัง ว่างเพราะเห็นอนัตตา ว่างเพราะเกิดปัญญาเห็นแจ้ง.
๒๑๙.

ถาม
ขณะเดินจงกรมมีอาการง่วงขึ้นวูบหนึ่ง ได้ยินเสียงในจิต "ง่วงทำไมเนี่ย" แล้วอาการง่วงก็หายไป แล้วก็รู้ว่าอ๋อ นี่คือสติ เขาคอยมาเตือนแล้วก็มีเสียงบอกมาอีกว่าให้คอยดู "ปัญญา" ขณะเดินไปเรื่อยๆก็ได้ยินเสียง "ฉันจะอยู่กับเธอนะ" แล้วก็ได้ยินเสียงต่อไปอีกว่า "ต่อไปนี้ฉันจะคอยกำกับดูแลชีวิตเธอเอง"พอสิ้นเสียงโยมก็มีอาการน้ำตาไหลดีใจขนลุกไปทั้งตัว หลวงตาคะ โยมไม่แน่ใจค่ะ โยมกลัวตัวเองจะโดนหลอกค่ะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนั้นเป็นอย่างที่เสียงบอก อีกใจโยมก็ว่าใช่ เพราะเป็นอาการเดียวกันเหมือนที่อยู่วัดป่าโสมพนัส ขอความเมตตาให้หลวงตาตอบด้วยค่ะ
ตอบ
สติเพียงทำหน้าที่รู้สิ่งที่เกิดขึ้น รักษาจิตให้ตั้งมั่น วางใจให้เหนือคำว่าใช่หรือไม่ใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมารมณ์อย่างหนึ่ง ทำให้จิตเราเกิดพละกำลังใจอย่างประหลาด จัดอยู่ในกลุ่มของปีติอย่างหนึ่ง หากละปีตินี้ได้ ไม่หลงกลัวหรือปีติยินดีไปกับมัน สักพักไม่นานอาการนี้จะหาย แล้วจะก่อเกิดเป็นสมาธิที่บริสุทธิ์เองโดยธรรมชาติ นั่นคือมรรคแท้.
๒๑๘.

ถาม
ตอนผมดูจิต เช่นเมื่อเวลาโกรธจะมีเสียงในหัวว่าโกรธให้รู้ว่าโกรธ และผมมักจะพากย์อย่างนี้ทุกครั้งเมื่อจิตเคลื่อนไหว ถามว่าถูกไหม ถ้าไม่ถูกควรแก้อย่างไร
ตอบ
รู้เฉย ๆ ไม่ต้องพากย์ พัฒนาการรู้จนกระทั่งรู้ทีไรดับได้ในขณะนั้น ๆ เลยแหละดี.
๒๑๗.

ถาม
ตอนนี้หนูฝึกงานที่โรงพยาบาลค่ะ พอได้ขึ้นไปอยู่บนตึกผู้ป่วย เห็นสภาพคนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ความทรมาน ความตาย ต่างๆ หนูรู้สึกว่าหนูหดหู่ จิตตก ไม่ค่อยสนุกหรือมีความสุขกับการฝึกงานและรู้สึกไม่ชอบกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ เพื่อให้ตัวเองมีกำลังใจชอบและอยากทำในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่
ตอบ
คิดหาประโยชน์ข้อดีของการกระทำ หรือของสิ่งนั้นๆแหละ แม้มันไม่ดีก็เฉยกับมันให้ได้ คือทำใจให้ว่างกับทุกๆ อย่างที่ผัสสะนั่นแหละ สติตัวเดียวนั่นแหละ อย่าให้หลุด.
๒๑๖.

ถาม
อยากได้การบ้านจากหลวงตามาทำค่ะ เช่นที่ว่าหลวงตาให้เดินดูอนิจจัง
ตอบ
เธอเห็นตัวเองว่าเป็นอนิจจังได้หรือยัง ไปหาความเป็นอนิจจังในกายในจิตให้ได้ทุก ๆ เรื่อง ทุก ๆ อย่าง ทุก ๆ อัน เพราะสังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจังนะจ๊ะ.
๒๑๕.

ถาม
เคยสนทนากับหลวงตาและส่งอารมณ์เรื่องเห็นสภาวะคล้ายนิมิตเหมือนผิวน้ำที่กระเพื่อมไหว และราบเรียบ และขุ่นมัวแล้วไม่ได้สนใจอะไร เพียงแต่ไม่ได้ตั้งใจดูแต่ว่ารู้อยู่ ก็จะเห็นน้ำที่ขุ่นมัวนั้นใสขึ้นจนเห็นตะกอนที่อยู่ใต้น้ำหมด แต่พออยากดูจริงๆ น้ำก็กลับขุ่น พอไม่สนใจจะดูน้ำนั้นก็กลับใส และใสนิ่งจนน้ำทั้งหมดรวมตัวลอยขึ้นเป็นหยดน้ำกลมใส นั่นเป็นครั้งที่ได้สนทนากับหลวงตาครั้งแรกคะ
ส่วนมาคราวนี้คือสภาวะที่เหมือนนิมิต ความรู้สึกเหมือนกับการตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ได้ทำความรู้สึกไปพร้อมกับความรู้สึกที่กำลังตกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าจิตไปหยุดอยู่ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลมีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายในจักรวาล และรู้สึกว่าจิตได้เปิดเผยหน้าที่การทำงานของจิตเป็นความรู้สึกว่าชั่วแว๊บเดียวเท่านั้น แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปยาวนานหาประมาณไม่ได้ จนกระทั่งมีสิ่งหนิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าจิตพาไปรู้เห็นแล้วเกิดความอัศจรรย์ขึ้นมา จิตนั้นก็ถูกครอบงำ ติดแน่น รู้สึกเหมือนว่ากำลังเรายังไม่พอและรู้สึกว่าอวิชชามีประมาณหาที่สุดไม่ได้ จิตก็มีหน้าที่รู้เท่านั้น เราเองต่างหากที่พาจิตไปติดยึดกับทุกข์ค่ะ เพราะดิฉันเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้บอกกับดิฉันว่ากำลังยังไม่พอก็ต้องเดินทางสะสมสร้างเหตุปัจจัยไปเรื่อย อยากเรียนสอบถามพระอาจารย์ รบกวนชี้แนะให้กระจ่างด้วยค่ะ
ตอบ
จะถามว่าอะไร หนูทำก็ดีแล้วนิ ให้ขยันตั้งใจทำไปเรื่อยๆ เถิด ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องจะมีแต่ผลดีกับดีส่วนเดียว.
๒๑๔.

ถาม
ขอความเมตตาจากหลวงตาช่วยแนะนำวิธีการตามดูจิต และการดูความคิดของตัวเองด้วยคะ เพราะเป็นคนคิดมากและคิดละเอียดเกินไป บ่อยครั้งก็ถูกความคิดหลอกเอา แต่ดีที่รู้ทันมันเร็วขึ้นจึงดับลงในระยะเวลาไม่นานนัก แต่เวลาถูกผัสสะมากระทบทางตาบ้าง ทางหูบ้าง เจ้าความคิดมันก็กลับมาอีก ก็พยายามดูมัน บางครั้งมันก็ปรุ่งแต่งไปบ้างตามอารมณ์ที่มากระทบ นี่เป็นการทำงานของจิตใช่ไหมคะ จะมีวิธีการอย่างไร ให้ไม่ทุกข์กับมาก หากมันเกิดขึ้นมาอีก ส่วนมากจะป็นเรื่อง ความรักใคร่ผูกพันกับคนที่ตนรัก อารมณ์ที่เกิดจะเป็นความน้อยใจบ้าง อิจฉาที่เขาทำดีกับคนอื่นบ้าง อยากตัดความผูกพันค่ะหลวงตา ไม่อยากเป็นทุกข์กับมันอีก
ตอบ
มาบวชสิ... ลำพังเพียงสอนทางอีเมลแบบนี้คงมีผลน้อย ขบวนการการเรียนการสอนที่ได้ผลคือต้องประกอบด้วยการพูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เคี่ยวเข็ญให้ปฏิบัติ เมื่อติดขัดก็ต้องรีบแก้ปัญหาให้ทันที เช่นนี้รับรองว่าได้ผลแน่ๆ .
๒๑๓.

ถาม
ผมอยากทราบว่าขณะที่เรากำลังยืนอยู่ ถ้าผมไม่เก่งดูลมหายใจและไม่อยากยืนคลึงนิ้วให้เสียบุคลิกภาพ หลวงตาพอจะมีวิธีอื่นแนะนำไหมครับ
ตอบ
ฝึกรู้ ฝึกเห็น ฝึกตัด ฝึกทิ้งความคิดไปเลยก็ได้ มันเกิดตรงไหนขณะทำอะไรอยู่ก็ให้ตัดมันทิ้งตรงนั้น.
๒๑๒.

ถาม
การเจริญสติต้องหลับตาด้วยไหมครับ เพราะกระผมเพี่งฝึกใหม่ หรือไม่หลับตาก็ได้ครับ
ตอบ
หลวงพ่อเทียนเน้นย้ำผู้ปฏิบัติเสมอๆว่า ไม่ต้องนั่งหลับตา ไม่ควรนั่งหลับตา ไม่ให้นั่งหลับตา.
๒๑๑.

ถาม
เวลาที่เรากำลังสร้างจังหวะอยู่แล้วความคิดเข้ามาโดยอัตโนมัติและอีกอย่างพอออกมาจากวัดไม่ค่อยมีสมาธิเลยค่ะ จะต้องทำยังไงเหรอคะ
ตอบ
กลับเข้าไปวัดอีกก็ได้ หรือไม่ หากเข้าใจหลักการแล้วเธอก็ฝึกเอาเองได้นิ.
ไม่มีความคิดเห็น:
qa 201-210
๒๑๐.

ถาม
เราแผ่เมตตาให้กับคนอื่นเขาจะได้รับหรือไม่ ถ้าได้รับ เขาจะได้รับอย่างไรครับ ถ้าเราปฏิบัติธรรมลูกเมียหรือญาติพี่น้องเราจะได้รับบุญด้วยหรือไม่ครับ โดยที่เราไม่ได้แผ่เมตตาให้
ตอบ
ขบวนการการฝึกจิตตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด เน้นที่จิตของผู้ฝึกปฏิบัติเป็นหลัก เช่นเดียวกับการเดินทางสู่เป้าหมายจำเป็นต้องมีพลังแห่งการปล่อยวางในทุกเรื่องที่เข้ามากระทบจิต ปล่อยวางทุกเรื่องที่เกี่ยวพันกับจิตใจเรา ทั้งนี้เพื่อให้จิตมีกำลังกล้าแข็ง ไม่ติดขัด ชักช้า เสียเวลาอยู่กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง (อนิจจัง อนัตตา) เน้นให้จิตมีพลัง (สัทธาพละ วิริยะพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ) มุ่งตรงสู่ความวิมุตหลุดพ้นจากกิเลสตัณหาเครื่องร้อยรัดทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดแล้ว ๆ เล่า ๆ อยู่แบบนี้...
คำถามนี้หลวงตาให้ข้อคิดง่าย ๆ นะ ลองนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้ภรรยา หรือลูกเต้าก็ได้ เสร็จแล้วสัก ๒-๓ ชั่วโมง หลังจากนั้นเราก็ไปถามเขาดูเอาเอง นั่นแหละคำตอบที่เป็นของจริงหล่ะ
ประโยชน์ของการฝึกจิตนั้นเกิดขึ้นได้ ๓ ลักษณะ คือ
ประโยชน์ตน (อัตตประโยชน์) ผู้ฝึกก็สุขกายสบายใจ ไม่ไหลไปอยู่กับความคิดปรุงแต่ง แผ่เมตตาครั้งใดก็สบายใจครั้งนั้น การปล่อยวางทำได้ดีเท่าไหร่ใจก็เบิกบานเท่านั้น จะเรียกการแผ่เมตตาว่าเป็นอุบายแห่งการปล่อยวางทุกข์ ละอารมณ์ก็ได้,
ประโยชน์ผู้อื่น (สัมปรายิกัตถะประโยชน์) ความสงบสันติสุขกายสบายใจ ย่อมเกิดขึ้นได้กับสังคมผู้แวดล้อม อันเป็นผลพลอยได้ตามหลักของเหตุปัจจัยโดยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก,
และประโยชน์อย่างยิ่ง (ปรัตถประโยชน์) คือนิพพานอันเป็นการดับสนิทเพราะการดับสลายหายไปของตัณหาโดยไม่เหลือเชื้อแล้วนั่นเอง.
๒๐๙.

ถาม
การที่เราทำสมาธิหลายๆอย่าง บางวันพุทโธ บางวันก็ยุบหนอพองหนอ บางวันก็ทำอาการเคลื่อนไหว บางวันก็นั่งนิ่งๆดูกายของเรา การทำเช่นนี้ทำได้ไหมครับและทำถูกต้องไหมครับ คือผมเป็นคนที่ชอบทุกอย่างเพราะเคารพครูบาอาจารย์ทุกองค์ที่ได้เข้าไปรู้จัก ผมควรจะเลือกแบบไหนดี หลวงพ่อให้ความกระจ่างแก่ผมด้วยครับ
ตอบ
ทำได้...ทำทุกอย่างเหมือนแกงกลาโหมนี่แหละ เดี๋ยวมันก็อร่อยเอง... ในสติปัฏฐานสูตรเขาก็ยังระบุไว้ไงว่า ให้กำหนดรู้ในอาการของอวัยวะทั้ง ๓๒ ของร่างกาย ส่วนไหนก็ได้ หรือแม้แต่จะเป็นการระลึกรู้ที่ขึ้นต้นด้วยสมถกรรมฐาน ๔๐ บ้างก็ยังพอได้อีกนั่นแหละ อนุสสติ ๑๐, อสุภะ ๑๐, อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑, จตุธาตุ ๔ ฯลฯ ทำไปเถอะ ขอให้ทำจริงๆ เพราะที่สุดแล้วแม้เพียงธรรมสิ่งเดียว ประเด็นเดียว รู้อย่างเดียวก็ตรัสรู้ได้
สิ่งที่จะนำมาเป็นนิมิตกำหนดรู้นั้น ถ้าอยู่ในกรอบของสติปัฏฐาน ผลของมันก็ย่อมเป็นเรื่องของอริยสัจ เช่นรู้กาย ผลของมันก็เป็นเรื่องของเวทนา, ดูเวทนา ผลก็เป็นเรื่องของจิต, ดูจิต ผลของมันก็เป็นเรื่องของธรรมารมณ์, ดูธรรมารมณ์ ผลของมันก็เป็นเรื่องวิมุต... เราอยู่ตรงส่วนไหนของเหตุหรือผลก็ไปทำกันเองเถอะ สำคัญอย่างทิ้งตัวปรมัตถ์คือสติแบบมั่นคง ส่วนสิ่งที่เป็นอุปกรณ์ในการฝึกตัวรู้นั้นเป็นสมมติทั้งหมด สุดท้ายแล้วเมื่อเกิดปัญญา เห็นแจ้งมันก็จะกลายเป็นความว่างเปล่าทุกสิ่งไป.
๒๐๘.

ถาม
ปฏิบัติเองที่บ้านจากการศึกษาสื่อต่างๆ การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ตอนนี้ดูกายก็ยังเพ่งยังประคองและหลุดบ่อย หลุดนาน ปฏิบัติในรูปแบบทุกวันเช้า-เย็น สวดมนต์ทำวัตร พยายามทำสติให้เจริญแต่ก็ไม่เจริญ นั่งสมาธิดูท้องพองยุบ ดูลม และระหว่างวันก็พยายามมีสติดูกายดูใจ แต่พอไม่เพ่ง ก็เผลอ ในใจมีแต่ความอยากจะพ้นทุกข์ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร การปฏิบัติจึงจะก้าวหน้ากว่านี้คะ
ตอบ
ความตั้งใจดีนิ ค่อยๆ ทำไปไม่ต้องรีบเร่ง ฝึกสติตามหลักสติปัฏฐาน 4 นั่นแหละ ความก้าวหน้าสังเกตได้จากความต่อเนื่องของอินทรีย์ห้า คือศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา และสุดท้ายลงที่อุเบกขาในธรรมทั้งหลาย โดยเฉพาะความนึกคิดปรุงแต่ง.
๒๐๗.

ถาม
ผมเคยมีเหตุการณ์แปลกๆเวลานั่งสมาธิภายในห้าถึงสิบนาทีในขณะเริ่มนั่ง เช่น ความรู้สึกว่าโลกหยุดนิ่ง ทุกอย่างหยุดนิ่ง ต่อมาเกิดอาการขนลุกไปทั่วร่างกายและเหมือนกับว่าจิตกำลังพาไปไหนชักแห่ง แต่ยังมิสติไม่สนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังเกิดอาการกลัวเพราะไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำและถอนออกจากสมาธิทุกครั้ง อาการที่เกิดขึ้นมันคืออะไรครับ และควรแก้ไขยังไง ขอหลวงตาช่วยแนะนำหน่อยครับ
ตอบ
นักปฏิบัติธรรมสมัครเล่นก็จะเป็นเช่นนี้เสมอๆ...เวลาฝึกจิตอย่าไปเน้นที่สมาธิ ให้เน้นที่ความรู้ตัว ถ้าสติน้อยศรัทธามาก สมาธิมีก็จะเป็นสมาธิแบบอุปาทาน พอสงบหน่อยใจที่สั่งสมอุปาทานมามันก็จะพาไหลไป คนทั้งหลายคิดว่าตัวเองมีสติรู้เท่าทัน แต่ก็ไม่สามารถที่จะเฉยกับมันได้จริง ๆ ยังมีอาการพอใจ ไม่พอใจ สงสัยอะไรต่าง ๆ อยู่ดีนั่นแหละ... คำว่ารู้สึกตัว มีสติ (สัมมาสติ) จริง ๆ เวลาปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปีติ หรือสมาธิ นิมิตอะไรต่างๆ ก็ตาม มันเกิดตรงไหนก็จะสลายไปตรงนั้น จะเหลือแต่ใจที่รู้ล้วนๆ โล่งๆ โปร่งๆ อันเป็นเส้นทางของมรรคโดยตรง.
๒๐๖.

ถาม
อาการของจิตที่กำลังจะถอนจากอุปาทานเป็นอย่างไรครับ
ตอบ
ในเบื้องต้นคือการทิ้งความคิดได้บ่อยๆ เรื่อยๆ นั่นแหละ ต่อมาก็คือการเห็นความคิดเกิดดับได้เองด้วยอำนาจสมาธิ จิตที่ตั้งมั่น สุดท้ายคือปรากฏการณ์เกิดญาณทัศนะ รู้แจ้งทำลายการเกิดขึ้นของความยึดติดแบบไม่เหลือซากในขณะนั้น ๆ ที่อุปาทานธรรมปรากฏ...สังเกตได้อีกอย่างก็คือการที่เราลด ละ เลิกสิ่งที่จิตชอบ ไม่ชอบ ยึดติดผูกพันได้แบบไม่อาลัยอาวรณ์ เรียกวิมุตหลุดพ้นนั่นเอง.
๒๐๕.

ถาม
จิตนี้มันแสนร้ายกาจมันปรุงมันแต่งเอาแทบแย่ หลวงตาสอนผมให้ดูมันๆ คิดก็รู้ๆ อย่างเดียว แล้วก็วาง แล้วมาอยู่กับกายอยู่กับปัจจุบันเมื่อคืนนี้จิตมันปรุงผมทำให้ผมแทบแย่ กว่าจะวางมันได้ก็เช้าพอดี หลวงตาครับทำอย่างไงครับพรุ่งนี้ต้องทำงานหรือต้องตอบคำถามมันเกี่ยวกับอนาคตครอบครัว แต่วันนี้คืนนี้ผมต้องเจอกับเจ้าจิตนี้แน่นอน มันต้องปรุงผมแน่ ผมก็ตามดูตามรู้มัน รู้สึกตัว ตื่นตัว รู้สึกใจตื่นใจ แล้วถ้าเอาไม่อยู่ ขอให้องค์หลวงตาโปรดสั่งสอนและชี้แนะ
ตอบ
เอาอยู่ละมั้งป่านนี้ นานแล้วนี่... ปรุงก็เป็นเรื่องของมัน ช่างมันเถอะ เฉยกับความคิด เฉยกับความปรุง มันก็ไม่มายุ่งอะไรกับใจเราหรอก... แขวนหลวงพ่อเฉยนี่แหละเอาไว้ในใจ อย่านิมนต์ท่านออกไปเชียวนะ ตราบใดที่ท่านอยู่กับเรา อย่างแนบแน่นมั่นคง เกจิรุ่นไหนก็สู้หลวงพ่อเฉยไม่ได้.
๒๐๔.

ถาม
สามีไม่ดีจะบอกเลิกกับสามีอย่างไร
ตอบ
อยากเลิกจริงหรือ ถามใจตัวเองให้มั่นใจจริง ๆ ก่อนเถอะ เรื่องเลิกนี่มันไม่ยากอะไรหรอก สวมรองเท้าแล้วก็เดินจากไปเลย หรือไม่ก็บอกตรง ๆ แบบใช้มธุรสวาจาหรือคูถภาษาก็ได้ อันนี้มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ บอกด้วยการกระทำหรือคำพูดก็ได้.
๒๐๓.

ถาม
รู้สึกแย่ที่ไม่สามารถปล่อยวางอารมณ์ได้ แต่มีตัวรู้ตามธรรมชาติอยู่นะค่ะ เวลาอยู่วัดพอจะปล่อยวางได้ แต่พออยู่นอกวัดดิฉันไม่สามารถเอาชนะมันได้ เมื่อวันก่อนดิฉันทานข้าวเสร็จแล้วก็นอนไม่ได้ภาวนา รู้ตัวนะค่ะว่าเราแพ้มัน แต่ก็ยอมแค่วันเดียวคงไม่เป็นไรหรอก ระหว่างที่นอนดิฉันได้เห็นพระจากนั้นเหมือนจิตดิฉันได้ออกจากร่างเพราะระหว่างที่ลุกออกจากเตียงนอนลงมานั่งพนมมือสนทนาธรรมกับพระ ดิฉันได้มองเห็นร่างตนเองนอนอยู่บนที่นอน พระท่านมาเตือนให้ดิฉันลุกขึ้นมาปฏิบัติธรรมอย่าขี้เกียจ แล้วพระท่านก็ถามดิฉันเหมือนโดนท่านทดสอบอารมณ์ด้วยค่ะ.จากนั้นก็ตื่นเลย
แล้วก็มีหลายครั้งที่ดิฉันได้ฝันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตชาติและอนาคตของตนเองบางครั้งจนต้องร้องไห้เพราะไม่สามารถฝืนความฝันได้ เส้นทางชีวิตเหมือนโดนลิขิตไว้แล้วและในชีวิตจริงก็ได้พบเจอสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นกับตนเอง ตัวรู้บอกว่าความฝันความจริงคือโลกสมมติทางนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น แต่ทำไม่ดิฉันยังวางอารมณ์จากโลกสมมติไม่ได้คะ
ตอบ
ยังไม่มีปัญญาแบบวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น มีแต่ปัญญาความคิดความเห็น ยังไม่ใช่ความเห็นแจ้ง...อยู่วัดก็เพราะฝึกสติพยายามปล่อยวางอยู่ตลอดไงแต่พออยู่ในชีวิตจริงเรากลับไม่พยายามฝึกฝนจนให้มันมีมาตรฐานของการปล่อยวาง มันก็จึงเป็นเช่นนี้แหละ.
๒๐๒.

ถาม
หนูเองเป็นลูกศิษย์หลวงตามานานคิดว่าตัวเองมีศรัทธาและความพยายามที่จะเจริญสติให้ต่อเนื่องและพยายามรู้สึกตัวในทุกๆอิริยาบทให้มาก ถ้าลืมก็ดึงกลับมาใหม่ ก็จะเห็นความคิดมันเริ่มก่อตัว เห็นว่าตัวเองลึกๆติดเรื่องอะไร ก็จะเห็นมันมาจ่อๆ แล้วก็ไม่เข้าไปค่ะ ก็กลับมารู้สึกตัว เรื่องบางเรื่องที่เคยมีหายไป แต่บางเรื่องยังเข้ามาใหม่ เช่น พยาบาท ไม่ชอบบางคน ชอบติดการเปรียบเทียบกับคนอื่น มันก็จะออกมา แต่เราเห็นมันเริ่มมาและไม่เข้าไป อาศัยเรียนรู้ธรรมจากสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ก็น่าอัศจรรย์มากค่ะ ซึ่งเมื่อก่อนหนูไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้หนูไม่เป็นคนขี้อารมณ์เสีย ไม่ขี้วิจารณ์คนอื่น ทำให้ไม่เก็บทุกข์ในใจ ถึงมีก็ไม่นาน ก็วางค่ะ หนูก็มารู้อีกว่าลึกๆแล้วจิตตัวเองชอบลงต่ำไปสู่ความขี้เกียจ หดหู่ ซึมๆ เบื่อๆ แต่ก็พยายามทวน งัดมันขึ้นมาจากการรู้สึกตัวและคำสอนของหลวงตา
1. ด้วยความที่เมื่อก่อนเป็นคนชอบหลับและหลับง่าย ปัญหาหลักๆ คือง่วงด้วยค่ะโดยเฉพาะตอนขับรถต่างจังหวัดง่วงทุกครั้งเลย แก้ไม่หาย ฟังซีดีหลวงตาแล้วก็พยายามระลึกกรู้ แต่แล้วมันก็ดิ่งง่วง ก็ตบๆ ตัวเอง ตีตัวเอง ยังเอาไม่ค่อยอยู่เลยค่ะส่วนใหญ่ต้องจอดเข้าปั๊มทำโน่นนี่ทุกที คือถ้าเป็นสร้างจังหวะ เดินจงกรม หนูก็จะแก้ได้เอาจนมันหลุดง่วง แต่ขับรถสู้ไม่ค่อยได้เลยค่ะ หลวงตาช่วยกรุณาแนะนำด้วยนะคะหนูทราบว่าสติไม่แข็งแรงพอแต่เมื่อยังต้องสู้ เราจะสู้กับมันอย่างไร ณ ขณะนั้นคะ พยายามเข้าไประลึกให้เห็นง่วงแต่ก็เอาไม่ออกเกือบทุกครั้งเลยค่ะ
ตอบ
ทำไปเถอะมวยบุกเขาเรียก “เจโตวิมุติ” มวยเชิงเขาเรียก “ปัญญาวิมุติ” แต่นักมวยในค่าย ส.ตถาคตต้องใช้แม่ไม้มวยธรรมทั้งสองรูปแบบคละเคล้ากันไปจึงสยบคู่ต่อสู้ได้ เลือกใช้ตามจังหวะ โอกาส ไหวพริบ ความจริงความรู้สึกทั้งหมดอยู่ในใจเราเอง หากรู้ว่าตัวเองหลับแล้วทำให้ตื่นเสียก็สิ้นเรื่อง เจริญอริยมรรคต่อไปได้เลย
ถาม
2. หนูเห็นว่าหนูมีอนุสัยกิเลสตัวใหญ่อีกตัว คือความกลัวค่ะโดยเฉพาะการกลัวตายในกรณีเดินทางด้วยเครื่องบิน โดยเฉพาะยามที่เครื่องบินเข้าเขตสภาพอากาศแปรปรวนก็ยิ่งกลัว พยายามรู้สึกตัวโดยการลูบนิ้วแรงๆมันก็เอาไม่ค่อยอยู่ค่ะ หัวใจมันตื่นเต้น บางทีก็เห็นความคิดจินตนาการเรื่องเครื่องบินตกออกมาก็รีบมารู้สึกตัว ถ้าพอทำได้ก็จะเห็นการเต้นของหัวใจว่าเต้นปกติ แต่บางทียังมีความกลัวอยู่ค่ะกลัวตายเพราะยังไม่ทันได้รู้แจ้งถึงฝั่งอะไรแบบนี้น่ะค่ะ หนูจึงทราบว่าสติหนูยังนำมาใช้ในยามคับขันไม่ได้ หนูมาทบทวนเรื่องราวตั้งแต่ตอนเด็กๆหนูสงสัยในชีวิตมาตลอด กลัวการพลัดพรากสูญเสีย ตกใจจนนอนไม่หลับ เมื่อก่อนไม่เคยเข้าใจเรื่องการเจริญสติ หนูมีแต่สงสัยและกลัวความว่างแบบนิพพานที่คิดไปเอง จนจิตร้องออกมาด้วยความกลัวหลายครั้งค่ะ แต่ก็ควบคุมเอาไว้และกลบเกลื่อนไปวันๆ พอมาเจริญสติเข้าใจมากขึ้น จนมาเจอสภาวะที่ชีวิตมันเป็นของเวิ้งว้างน่ากลัวอีกครั้งเลยไปติดอารมณ์กลัวชีวิตแบบสุดๆแต่หลวงตาได้กรุณามาช่วยแก้อารมณ์เลยเข้าใจว่านี่เป็นตัวหนักของหนูแน่ๆ หลวงตาคะ หนูจะต้องแก้ด้วยการเจริญสติมากๆตลอดๆใช่ไหมคะ จนกว่ามันจะแข็งแรงปกป้องได้ แต่ในระหว่างนี้เมื่ออยู่ในสภาะวะบนเครื่องบินอีก หนูก็ต้องสู้กับความรู้สึกตัวหนักๆอย่างนั้นไปตลอดจนกว่าจะดีขึ้นใช่ไหมคะกราบนมัสการหลวงตาโปรดให้ข้อแนะนำค่ะ
ตอบ
กิเลสตัวนี้รู้สึกว่ามันจะจัดอยู่ในจำพวกโมหานุสัยฝังรากลึกซึมซาบอยู่ในจิตมานานเอาการ จนเป็นภาวะที่ตามหลอกหลอนเรื่อยมา จนกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับใครบางคนไปแล้ว... หลวงตาพบเห็นอยู่บ่อยๆสำหรับอารมณ์ที่เป็นปมด้อยของใครแต่ละคน ซึ่งก็จะแตกต่างกันไป จุดเปลี่ยนก็คือเรื่องของปัญญาซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดช่วงเวลาใด อิริยาบถไหน แต่เหตุของมันแท้ๆคือสติไม่คมชัด ไม่รู้เท่าทันจิต ทันอารมณ์ และที่สำคัญสติยังไม่ลงรากรู้แจ้งลึกถึงตะกอนความรู้สึกเป็นทุกข์อันนั้น มันก็เลยยังลอยนวลอยู่... ลองๆหาเหตุผลมาคัดค้านเสี้ยมสอนจิตมันดูบ้างสิเผื่อมันยอมรับได้ เปลี่ยนได้... เอาน่า ขยันกำหนดรู้อีกนิดเดี๋ยวพิชิตมันได้หรอก... เฮ้อ!..เธอนี่ก็เหลือเกินเขามีแต่กลัวว่าไม่มีเงินขี่แต่เธอมีเงินขี่กลับกลัว... ช่วงที่มันยังกลัวเครื่องบิน ยังนั่งไม่ได้ ก็ให้นำปัจจัยค่าโดยสารมาให้หลวงตาใช้ไปพลางๆก่อนน่าจะดี.
๒๐๑.

ถาม
ดิฉันขอเล่ารายละเอียดการปฎิบัติธรรมย้อนหลังก่อน ตอนดิฉันอายุ 20 ปี ดิฉันฝันเห็นพระก็เลยไปบวชที่วัดป่ากุง ตอนนั้นเห็นความทุกข์ของสัตว์โลกจนร้องไห้อยู่ๆก็เห็นแสงสว่างเกิดขึ้นแว๊บเดียว จากนั้นก็เกิดอารมณ์มีความสุขใจ สบายกาย เย็นกาย เย็นใจ ชุ่มใจ อิ่มใจ เวลาเดินก็เหมือนกันค่ะ ตอนนั้นยังไม่รู้จักการเดินจงกรมด้วยคือมันเกิดขึ้นเองค่ะ ต่อมาเรียนอยู่ปี3ได้ไปฝึกงานที่สวนพนาวัตน์ สายธรรมกาย ก็ได้นั่งสมาธิดูกายตนเอง ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมัธยมอาจารย์ก็ให้ไปปฎิบัติธรรมบ้าง พอทำงานหัวหน้าก็ให้ไปปฎิบัติธรรมที่วัดหลวงตา ก็เห็นความคิด เห็นอารมณ์ เป็นต้น จนวันหนึ่งเกิดอาการเบากาย เบาใจ เป็นโล่งๆเหมือนไม่มีอะไร พอออกจากวัดมาเริ่มรู้สึกว่าตนเองเปลี่ยนไป อารมณ์โกรธไม่มีเป็นต้น วันหนึ่งดิฉันฝันเห็นพระ ท่านบอกว่าให้ไปปฎิบัติธรรมที่วัดอัมพวันทั้งที่ดิฉันไม่เคยรู้จักวัดนี้มาก่อนเลย แต่ก็ได้ไปสิ่งที่เกิดขึ้นจากการผ่านการปฎิบัติธรรมมาหลายที่แบบไม่ตั้งใจเกิดการรวมตัวขึ้นทำให้ดิฉันมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแม้กระทั่งตอนนอน วันหนึ่งขณะที่ภาวนาอยู่ดิฉันรู้สึกว่าลมหายใจหมดไป หัวใจก็หยุดเต้น จนคิดว่าตนได้ตายแล้ว ตอนนั้นดิฉันได้ละความทุกข์ ความสุข ออกจากใจแล้ว เหลือแต่ความรู้สึกอย่างเดียว จนได้ยินเสียงพระสวดมนต์บทหนึ่งทุกอย่างก็เริ่มกลับมา ต่อมาพอสวดมนต์ทำวัตรเย็น ดิฉันรู้สึกมึนๆ วูบๆไปทั้งตัว ไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะหลวงตา เหมือนความรู้สึกตัวทั่วพร้อมชัดขึ้น คือมันไม่ปกติอีกแล้ว พอสวดมนต์เสร็จดิฉันก็รีบนั่งสมาธิเลยค่ะพอนั่งสมาธิก็มีอะไรผุดๆขึ้นมาเต็มไปหมดเลยค่ะดิฉันขอถามหลวงตาว่า
1.ทำไมอารมณ์แต่ละครั้งที่ได้ไม่เหมือนกันคะ
ตอบ
แล้วแต่เหตุปัจจัยของกิเลสตัณหาหรือสติปัญญาเข้มข้นจืดจางหรือเท่าเดิมผลก็จะเป็นไปตามนั้น
ถาม
2.อารมณ์ที่ได้ทำไมมันไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกคะ
ตอบ
คำตอบเหมือนข้อ 1.
ถาม
3.ตอนที่ได้ยินเสียงพระสวดดิฉันได้ตายไหม เพราะดิฉันรู้สึกว่าหัวใจก็หยุดเต้น ลมหายใจก็หมด พอออกจากภาวนาได้ถามเพื่อนๆว่าได้ยินเสียงพระสวดไหม ไม่มีใครได้ยินมันคืออะไรคะ
ตอบ
ยังไม่ได้ตาย, สมาธิมากทำให้จิตเรานิ่ง, ไม่มีความคิดก็เลยไม่เห็นความเคลื่อนไหวของจิต เพราะกิเลสมันอาศัยความคิดมันจึงเคลื่อนไหวได้... อันนั้นคือนิมิตหรืออุปาทานที่มันผุดออกมา
ถาม
4.การได้เห็นแสง อารมณ์เบากายเบาใจ อารมณ์มึนๆวูบๆ มันคืออะไรคะ
ตอบ
คือโอภาส สว่างในใจ เป็นการเขี่ยหรือผลักดันกิเลสตัณหาที่ปิดบังจิตอยู่ ทำให้แสงสว่างแห่งปัญญาสาดส่องเข้ามาในจิต... คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นแสงจากข้างนอก... เกิดปีติเลยเบากายเบาใจ พอเพ่งอยากได้อยากอยู่กับมันหรือหามันมากๆเข้าก็เลยมึนหัว ให้รู้เฉยๆ เน้นที่การรู้สภาวะไม่เน้นรักษาปีติ แต่เจริญตัวรู้ตัวเห็น ปล่อยวางได้ เฉยได้กับทุกการปรุงแต่ง
ถาม
5.ต่อไปต้องทำยังไงต่อคะสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้นหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้น
ตอบ
เจริญสติทำความรู้สึกตัว ดูเฉยๆ ระลึกเสมอว่าทุกอย่างเป็นมายา เกิดขึ้นเดี๋ยวก็สลายหายไป ถอนอุปาทานพอใจไม่พอใจในทุกอารมณ์ออกเสีย ให้เหลือแต่ธรรมชาติรู้ล้วนๆเท่านั้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
qa 191-200
๒๐๐.

ถาม
การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวต่างจากการนั่งวิปัสสนาอย่างไรคะอย่างไหนได้ประโยชน์มากกว่ากันเพราะถนัดนั่งกำหนดรู้มากกว่าค่ะ
ตอบ
รูปแบบคือเครื่องมือ จิตคือผู้เดินทาง หนทางคือความว่าง ความรู้ตื่นเบิกบาน อุปสรรคคือนิวรณ์ห้า อุปาทานในขันธ์ห้า... เป้าหมายคือความหลุดพ้นจากอาสวะกิเลส... ใช้อิริยาบถไหนก็ได้ขอให้ใจมันไกลกิเลส ดับกิเลสได้สิ้นเชิง.
๑๙๙.

ถาม
ถ้าระหว่างวันที่ไมได้ทำรูปแบบแต่พอรู้สึก จะคอยบริกรรม รู้สึก ๆๆๆๆไปด้วยได้ไหมคะ จะได้เหมือนคอยย้ำเตือนไม่ให้หลงไป หรือจะภาวนาพุทโธ ดีกว่ากันคะที่จะช่วยให้สติเจริญขึ้นๆ
ตอบ
เอาสติมาแอบดูจิตเลยจะดีกว่า... ดูกาย เวทนา จิต อารมณ์... ดูกายไม่ชัดก็ดูจิต ดูอารมณ์พอใจไม่พอใจหรือเฉยๆเลยก็ได้นี่ จะไปอยู่กับคำบริกรรมทำไม.
๑๙๘.

ถาม
ตอนนี้หนูเข้าใจว่ามนุษย์เราประกอบด้วย กาย(รูป) กองดิน น้ำ ไฟ ลม และจิต(นาม) เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ(ตัวรู้) เมื่อเราลืมตาอ้าปากได้ เราก็ได้สัญชาติญาณความเป็นมนุษย์มาคือ ขันธ์ 5ทำงานร่วมกับตัณหา อุปทาน เพราะความไม่รู้(อวิชชา) จนยึดว่าเป็นตัวกูของกู เกิดความรู้สึกทุกข์ สุข เฉย บนความโลภ โกรธ หลง หากเราต้องการออกจากวัฎสงสาร คือ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน จะได้มีสติ(ตัวตามรู้) เกิดญาณทัศนะ ปัญญาญาณ มารู้มาเข้าใจอริยสัจสี่ และเจริญมรรคมีองค์แปด (ทางสายกลาง)หากมนุษย์ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เขาจะสามารถออกจากวัฎสงสารได้ไหมคะ หรือคนที่นับถือศาสนาอื่นจะมีโอกาสได้เห็นความจริงอันประเสริฐเหล่านี้ไหมคะ แล้วชาวพุทธที่ไม่มีโอกาสมาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ มันเกิดจากเหตุปัจจัยอื่นอีกไหมคะนอกจากกรรมและเจตนาของมนุษย์ทั้งหลาย ขอพระอาจารย์ชี้แจงข้อสงสัยเหล่านี้ด้วยค่ะ
ตอบ
ใช่, ต้องเจริญสติปัฏฐาน 4 อย่างเดียวเท่านั้น คนไม่รู้เรื่องนี้ก็ออกจากทุกข์ไม่ได้, คนผู้นับถือศาสนาอื่นหากได้ฝึกเจริญสติอย่างถูกต้องก็ต้องรู้, แม้หากชาวพุทธไม่ปฏิบัติไม่ทำก็ไม่รู้, ปัจจัยอื่นที่ทำให้รู้แจ้งนอกจากมีสติระลึกรู้ตามหลักสติปัฏฐานแล้วไม่มี.
๑๙๗.

ถาม
โยมว่าโยมรู้ตัวเป็นเวลาเดิน ถ้าแค่รู้มันก็เบาๆ เหมือนไม่ได้ทำอะไรเท่าไร แต่ถูกสอนมาว่าพอรู้แล้วต้องให้เห็นด้วย ดังนั้นเวลาปฎิบัติโดยท่านั่งโยมใช้การขยี้มือเบาๆพอรู้ตัวแล้วโยมก็เอาสติไปดูที่มือให้เห็นว่ามันขยับเข้าขยับออก ไม่ถึงนาทีโยมก็ตัวแข็งได้แล้ว ทีนี้พอตัวแข็งก็ไม่อยากขยับมือแล้ว มันจะไปดูแต่อาการเคลื่อนไหวของร่างกายตามการหายใจเข้าออก ก็ไม่ได้ปวดหัวนะคะหลวงตา แต่มันตัวแข็ง วันก่อนโยมได้เพิ่งฟังเทปหลวงพ่อพุทธยานันทภิขุ ท่านเน้นว่าให้สบายๆ โยมว่าตัวแข็งแบบโยมมันไม่นาจะใช่สบายๆ นะคะ กราบขอความกรุณาจากหลวงตาสงเคราะห์โยมด้วยนะคะว่าอย่างที่โยมทำเนี่ยมันเป็นการเพ่ง เป็นการตั้งใจเห็นร่างกายเกินไป หรือว่าที่ทำเนี่ยถูกแล้วคะ
ตอบ
ใช้อิริยาบถเดินจรงกรม รู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหวอิริยาบถใหญ่ให้เยอะๆดูสิ... ระลึกรู้กับการจ้องไม่เหมือนกันนะ รู้เท่าที่มันเป็น เห็นเท่าที่มันเกิด ถ้าไม่มีอะไรเกิดก็ให้รู้อยู่กับปัจจุบันอิริยาบถเฉยๆ เห็นกายก็คือเห็นอาการเวทนาที่เกิดขึ้น เช่น เจ็บ ปวด เมื่อย หิว ง่วง ฯลฯ เห็นว่านี่เป็นธรรมชาติที่เกิดดับ ดูธรรมชาติมันทำงาน หากสติสมาธิดีหน่อยก็อาจดูลึกถึงเหตุปัจจัยการเกิด แล้วก็แก้หรือถอน ละเหตุปัจจัยทุกข์มันก็ดับ... เห็นจิตก็คือเห็นจิตที่มันคิดมันปรุงแต่ง มันเฉย มันปล่อยวาง มันเป็นสมาธิไม่เป็นสมาธิ หากมันยังไม่วางก็ฝึกสติหัดวางไปเรื่อยๆจนเกิดความชำนาญ... ค่อยเป็นค่อยไป อย่าทำด้วยความอยากนะจ๊ะ...
ถาม
ผมได้ฝึกการทำสมาธิมาได้ระยะหนึ่ง ผมมีปัญหาอยากถามหลวงตา แยกตามอาการสองข้อครับ
1.จากการเดินจงกรมคือผมจะกำหนดจิตไว้ที่หน้าผากแล้วบริกรรมพุทโธ ขณะที่ผมเพ่งจิตไปที่หน้าผากมากๆประมาณ70-80%ผมจะเกิดอาการหน่วงๆหนึบๆที่หน้าผาก ถ้าเพ่งไปนานๆอาการนี้ก็ตั้งอยู่นาน พอมีความคิดอย่างอื่นเข้ามาแทรกหรือแบ่งความสนใจไปที่เท้า ร่างกายส่วนอื่น อาการนี้ก็จะค่อยๆจางไป พอรวบรวมสมาธิเพ่งมาที่หน้าผากอีกก็เป็นเหมือนเดิม และมักเกิดความง่วงมากๆตามมาอีกครับ อยากทราบว่าเป็นที่อะไร จะแก้ไขได้อย่างไรครับ
ตอบ
เป้าหมายการฝึกสติคือ ต้องการพัฒนาประสิทธิภาพให้มีความรวดเร็ว ว่องไว แม่นยำ ทำลายความคิดปรุงแต่งอันเป็นเป้าเล็ก และสังโยชน์ที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตอันเป็นเป้าใหญ่... ไม่ต้องกดเกร็งเพ่งจ้องอะไรให้มากเป็นพิเศษ รู้กายกับจิต 50/50 ก็ได้ และการฝึกฝนก็ไม่ต้องรีบร้อน หากอึดอัดขัดเคืองต้องวางจิตใหม่ รู้อะไรตรงไหนก็ได้ในอาการ 32 ของกายนี้ เพียงสังเกตจิตสัก 5-10 เปอร์เซ็นก็พอ เรียกว่าแค่ชำเลืองดูก็ได้แล้ว... สมาธินั้นเขาเอาไว้เพ่งกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ ดูจนมันดับ อีกวิธีหนึ่งคือไม่เพ่งดูจิต แต่รู้อยู่กับกายสักพักมันก็จะดับหายไปเอง เขาให้เห็นธรรมชาติเกิดดับของจิตต่างหากเล่า เป็นผู้ดูอาการของธาตุขันธ์เท่านั้น ไม่ต้องรวบรวมสมาธิอะไร ฝึกสติประคองจิตไม่ให้ไหลไปอยู่ในความคิด หรือฝึกออกจากความคิดทุกครั้งที่มันเกิดก็พอแล้ว... ฝึกเช่นนี้บ่อยๆจะเห็นอริยสัจปรากฏ เห็นไตรลักษณ์ปรากฏ สัมมาสมาธิก็จะเกิดโดยธรรมชาติ... สมถะมากไปจะขาดความคล่องตัว จิตขี้เกียจ นิวรณ์แทรกซึมเข้าง่าย เพราะปัญญา “การเห็น” ไม่เกิด เหตุเพราะเราเน้นความนิ่งสงบซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงเอาเสียเลย.
ถาม
2.ตอนนั่งสมาธิผมก็พยายามกำหนดจิตไว้ที่หน้าผากและบริกรรมพุทโธ แต่อาการหน่วงๆหนึบเกิดขึ้นไม่มากเหมือนตอนเดินจงกรม แต่ที่เป็นปัญหากับผมมากๆคือ 9ใน10ที่นั่งสมาธิในขณะที่จิตเริ่มนิ่งคำบริกรรมเริ่มขาดหายผมมักขาดสติจะเผลอหลับ ส่วนใน1ครั้งนั้นในขณะที่คำบริกรรมเริ่มขาดหายนั้น เหมือนสติจะขาดไปแวบหนึ่งเหมือนกันแต่ไม่ใช่การหลับ แต่เป็นการรู้ตัวแบบทั้งหมดทั้งร่างกายคือจิตไม่ได้จับอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งแล้วเป็นการรู้ตัวแบบว่ารู้เฉยๆ เป็นแบบนี้อยู่พักหนึ่ง พอมีความคิดอื่นเข้ามาแทรกก็ค่อยๆจางออกไปเหมือนกันครับ อยากทราบว่าอาการนี้คืออะไรจะแก้ไขได้อย่างไรครับ
ตอบ
ก็ให้ทำได้แบบตอนท้ายๆที่เล่ามานี่แหละ.
๑๙๕.

ถาม
หนูได้ลองอ่านคำถามและคำบอกเล่าจากเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมแล้วก็คำตอบของหลวงตาทำให้หนูอยากลุกขึ้นมาตั้งใจเจริญสติจริงๆ อยากรู้ว่าคนอื่นที่เขาเจอปิติทำไมเขาถึงยินดีนัก
ตอบ
ปีติที่เกิดจากการเจริญสัมมาสติ อานุภาพจะไม่เหมือนอาการที่เกิดกับสมถะ เพราะนี่จะเป็นภาวะของความอิ่มใจ โล่งใจ สบายใจ เหตุเพราะเกิดตัวรู้ได้ปัญญาเห็นแจ้ง ดับความง่วงความปรุงแต่งฟุ้งซ่าน ปฏิฆะหงุดหงิดติดอารมณ์ ความวิตกกังวลลังเลสงสัยไม่แน่ใจในสติสมาธิปัญญาว่าเป็นหนทางวิถีมรรคนำสู่การดับทุกข์ได้อย่างไร ทุกข์ดับ ทุกข์หายมีจริงหรือไม่ คือสภาพเช่นไร ถ้าจับได้ มั่นใจในศักยภาพของสติ นั่นคือ “การได้ดวงตาเห็นธรรม” ทำได้ใครเล่าจะไม่ยินดี เพราะนี่คืออริยทรัพย์กันเลยทีเดียวเชียวแหละ.
๑๙๔.
ถาม
ทุกครั้งที่มีเรื่องสุขและทุกข์ สิ่งแรกที่นึกถึงคือคำสอนของหลวงตา แล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้อย่างสบายมากค่ะ
ตอบ
ไม่เปิดประตูต้อนรับอาคันตุกะกิเลสใดๆ ใจเราไม่เศร้าหมองหรอก แต่เดี๋ยวเถอะวันไหนที่กิเลสแวะได้ ไฟแบตอ่อน อย่าลืมมานอนแวะชาร์จใจทบทวนอารมณ์ปฎิบัติใหม่กันบ้างเด้อ.
๑๙๓.

ถาม
ในระหว่างที่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าโสมพนัสเป็นเวลา 7 วันด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจนั้น ไม่ว่าจะขณะทำความเพียรหรือระหว่างวัน จะได้ยินเสียงพระสวดอยู่ตลอดเวลายกเว้นแต่พียงเวลาทำวัตรเช้าและเย็นเท่านั้น ทำให้เข้าใจว่าเป็นเสียงสวดของพระที่อยู่วัดใกล้เคียงกัน แต่เมื่อครั้นได้กลับมากรุงเทพได้สอบถามผู้ที่ได้ไปปฏิบัติด้วยกันว่าได้ยินเหมือนหรือไม่กลับได้คำตอบว่าไม่เห็นได้ยินเลย ก็เลยทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้ยินเช่นนั้นคะ
ตอบ
ประทับใจเรื่องใดๆ ขณะทำสมาธิหากอุปทานยังไม่ถูกอ้างออก ก็จะแปลงตัวเองเข้ามาอยู่ในรูปของนิมิต หากยิ่งเราหลงเพลินไปกับสิ่งนั่น มันก็ยิ่งจะดูเหมือนจริงขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นอัตตาตัวตนส่งผลเป็นอธิโมกข์คือ งมงาย (ศรัทธาในความไม่จริง)ไม่ใช่ปัญญา เหตุเพราะตัวสติไม่บริสุทธิ์ ยังไม่เป็นสัมมาสติ อาการเช่นนี้ทางโลกเขาเรียกว่า หูแว่ว หากเห็นว่าเกิดอาการผิดปกติอย่างไรในขณะปฎิบัติ ให้ทบทวนรับคำชี้แจงจากพระพี่เลี้ยงก่อนเลิกได้ทันที เหตุการณ์นี้ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่มันทำให้เราเสียเวลาเสียโอกาสเท่านั้น.
๑๙๒.

ถาม
ในขณะปฏิบัติธรรมหนูไม่รู้ว่าหนูใจลอยจนไม่รู้สึกตัว หรือหนูปฏิบัติเข้าถึง ทางสว่างกันแน่คะ ความรู้สึกเหมือนไม่ได้คิดอะไรรู้สึกว่างเปล่าแต่หนูกลัวว่าสิ่งนั่นเป็นแค่อุปาทานของหนูค่ะ
ตอบ
หนูได้สัมผัสความว่างของจิตที่ปราศจากนิวรณ์ครอบงำ เป็นจุดของการได้อารมณ์ปฎิบัติ เกิดขึ้นได้เพราะเรามีสติตัดความคิดความง่วงได้ มันว่างจากทุกข์ได้ชั่วขณะแต่มันก็ยังติดตัวดีใจ ตัวสงสัย ตัวเสียดายไม่ได้ สิ่งเหล่านี้แหละคืออุปาทาน หนูต้องทำให้ว่างจากสิ่งเหล่านี้ให้ได้ด้วย
๑๙๑.

ถาม
หนูได้เจริญสติตามแนวเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียน (ต่อเนื่องตั้งแต่ตค.52จนถึงปัจจุบัน ) แต่ก็ระลึกเสมอว่าถ้าทำงานก็ให้มีสติระลึกรู้ มีปฏิบัติขณะรอรถ-บนรถประจำทาง โดยการพลิกมือและคว่ำมือ 2-3 นาที ก็รู้สึกดี แล้วก็เหมือนโชคดี งานที่ทำอยู่ในขณะนี้ ณ ตรงนี้ (บุคคลหรือผู้ที่เคยมาทำงานตรงจุดที่หนูทำอยู่ทุกคนที่เคยมาทำก่อนหน้านี้มีปัญหาหมด แต่พอหนูได้มาทำ ก็รู้สึกว่าแปลกใจเหมือนกันว่าอุปสรรคต่างๆก็เคลียร์และผ่านพ้นไปได้ดี ไม่ทราบมีผลเกี่ยวกับการเจริญสติใช่ไหมคะ
ตอบ
เมื่อเราดึงใจมาอยู่กับตัวเองก็จะเกิดปัญญา เห็นปัญญาที่เกิดกับจิตเรา แก้ไขได้ ใจเราก็จะดีมีพลัง เห็นปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาเท่านั้นไม่ใช่อุปสรรค สติปัญญาเกิดการปฏิสัมพันธ์ การบริหารจัดการทั้งวัตถุ สิ่งแวดล้อม บุคคลผู้ร่วมงานล้วนอยู่ในกรอบของเมตตาธรรมด้วยกันทั้งนั้น เราสร้างเหตุปัจจัยถูก ธรรมะจะจัดสรรตัวของมันเอง แต่ก็อย่าได้ประมาท เพราะจิตมนุษย์นี้เปลี่ยนแปลง เป็นตัวก่อเกิดปัญหาทั้งหมด ที่สำคัญคือไม่เข้าใจทุกขัง ไม่เข้าถึงอนัตตา ไม่เพียรแก้ปัญหา ปัญญาจะมีได้อย่างไร.
ไม่มีความคิดเห็น:
qa 181-190
๑๙๐.

ถาม
ประมาณ 4-5 วันที่ผ่านมา ได้เจริญสติการเคลื่อนไหว ขณะที่ปฏิบัติ ขณะที่พลิกมือ ตะแคงมือ เคลื่อนไหวทุกขณะ เหมือนมีพลังอะไรสักอย่าง ไม่ทราบว่ามาจากไหน มันดูดๆ ไม่ทราบว่าอาการแบบนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือเป็นการตั้งใจมากเกินไป เป็นการเพ่ง อาการแบบนี้ หลวงตาช่วยชี้แนะ แนะนำว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร
ตอบ
ไม่ทราบก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปใส่ใจ..ทำใหม่ ทำในอิริยาบถที่สบายๆ ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ดูด้วยการรู้ตัวที่ตั้งมั่นเป็นอิสระ อย่าเข้าไปในอารมณ์ ดูจบมันดับไป ดูจนหายสงสัย อย่าดูด้วยความคิดความอยาก อย่างทำด้วยความกล้าจนเกินงาม อย่าทำด้วยความกลัวจนทำอะไรไม่ได้ความ.
๑๘๙.

ถาม
หลวงตามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องโทษประหารชีวิตในสังคมไทยว่าควรหรือไม่
ตอบ
คงต้องพิจารณาจากเหตุปัจจัยรอบด้านก่อน ด้วยเหตุนี้สังคมจึงมีการแต่งตั้งผู้พิพากษาทำหน้าที่ไงและก็ตัดสินไปตามหลักฐานประมวลความผิดที่มีบทบัญญัติระบุโทษไว้ ในนานาอารยะประเทศ เขางดกฎประหารชีวิตกันแล้ว ซึ่งอันนั้นก็ต้องดูบริบทรอบด้านของพื้นฐานจารีตประเพณีวัฒนธรรม ตลอดถึงระบบการศึกษา การบำบัดดูแลเยียวยารักษาผู้ต้องโทษที่จะคืนสู่สังคม ความมั่นใจในประสิทธิภาพระบบความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินผู้คนในสังคมส่วนรวม ฯลฯ
ณ ปัจจุบันอย่าว่าแต่สังคมไทยเลย แม้สังคมโลกก็ยังจำเป็นต้องมีเพราะการศึกษาที่เน้นให้คนเข้าถึงความจริงของชีวิต เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ การศึกษาที่เจาะลึกถึงธรรมชาติของจิตใจอันเป็นต้นตอของปัญหา คือ โลภ โกรธ หลง ยังไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจังในระดับนโยบายของรัฐ หรือถึงกับเป็นของวาระประเทศหรือของการพัฒนามนุษยโลก ที่สำคัญนโยบายการพัฒนาของรัฐโดยทั่วไปที่เป็นอยู่ วิถีชีวิตจิตสำนึกที่ขาดการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิหิริโอตตัปปะที่เพียงพอ ก่อให้เกิดสิ่งเร้า ทำให้จิตคนเกิดอกุศลรุนแรงขยายวงกว้างยิ่งๆ ขึ้น
ในสังคมพุทธ หากผู้ใดเป็นผู้ว่ายากสอนยาก ฝ่าฝืนพระธรรมวินัยกฎระเบียบสังคมสงฆ์ เขาก็ใช้มาตรการประหารชีวิตเช่นกัน คือทำให้ตายไปจากโลกของมรรคผล งดการแนะนำพร่ำสอนอธิศีลสิกขา อธิจิต อธิปัญญา ให้ตายไปจากสังคมอริยะ โดยการนาสนกรรม นิคหกรรม ปัพพาชนียกรรม เนรเทศ ไล่หนี ไล่ให้สิกขาลาเพศไปเสีย.... ออกจากสังคมพระคืนสู่สังคมฆราวาส ซึ่งก็ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายของสังคมนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อรักษาความเป็นปกติสุขของบุคคลสังคมรอบข้าง แต่ละแห่งก็จะมีบทบัญญัติหนักเบาด้วยเหตุปัจจัยที่แตกต่างกันไปอย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น
สรุปง่ายๆ การบริหารมนุษย์ก็เหมือนกับการบริหารทรัพย์สินวัสดุทั่วๆไป หากสิ่งของใดไม่เป็นประโยชน์แต่กลับให้โทษ หากใช้กลไกของสังคมบริหารจัดการแล้วยังแก้ไขไม่ได้ก็จำเป็นต้องกำจัด.....
อันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า มันมีมนุษย์ขยะบางจำพวกที่ไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอีกได้ มิหนำซ้ำเป็นขยะติดเชื้ออีกต่างหาก...คุณหมอเนย์คิดจะทำอย่างไรกับมัน...แน่นอนสิ่งที่เราคิดง่ายทำง่ายก็คือ ฆ่า! ทำลาย! แต่มั่นใจหรือว่าได้ใช้เมตตาธรรมถึงที่สุดแล้ว ไม่มีปัจจัยใดๆ ที่จะรีไซเคิลขยะจิตวิญญาณดวงนี้ได้อีกหรือ ถ้าใช่ก็โอเค ถ้าไม่ใช่ก็เอวัง.
๑๘๘.

ถาม
ดิฉันเคยมาปฎิบัติธรรฒที่วัดโสมพนัสหลายครั้งคิดว่ามาถูกทางแล้ว แต่กำลังสติยังไม่เข้มแข็ง ออกนอกวัดไปดำรงชีวิตอยู่อย่างโลกๆก็เจอแรงกระทบหลายครั้งและหลายเรื่อง แต่ก็พยายามใช้วิชาความรู้ที่ได้จากวัดไปทดสอบจิตของตัวเอง ทันบ้างไม่ทันบ้างเป็นบางครั้ง เผลออยู่เป็นประจำ แต่ก็รู้สึกตัวได้เร็วขึ้น บางทีความคิดมาก็เห็นแวบๆแล้วมันก็ผ่านไป เพราะเราไม่ยุ่งกับมัน แต่จะมีบางเรื่องที่จิตโดนกระทบอย่างแรง จะตามไม่ทันความคิด เผลอให้มันแช่อยู่ตั้งนานสองนาน กว่าจะหลุดไปได้ ต้องสู้กับมันจนเหนื่อยคะ ทุกวันนี้ดิฉันใช้วิธีดูความเคลื่อนไหวของกาย และดูความเกิดดับของจิต คอยดูอาการที่เกิดขึ้นกับจิตของตัวเอง พยายามดูมันเฉยๆไม่ปรุงแต่งอะไรกับมัน จะมีบางครั้งที่เผลอปรุงไปบ้าง แต่ระยะเวลาการปรุงแต่งมันสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด บางที่มีความรู้สึกเหมือนก้อนกลมกำลังจะหล่นทับเรา แต่พอรู้สึกตัว ก้อนนั้นก็หลบหายไป บางครั้งเกิดอาการว้าวุ่นในจิต รู้สึกกระวนกระวาย พอมีอาการดังกล่าวเราก็ดูมันเฉย สักพักอาการดังกล่าวก็หายไป กลับเป็นความเย็นเข้ามาทันที จะเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆอยากถามหลวงตาว่าอาการที่ดิฉันเป็นมันคืออะไร และเดินมาถูกทางหรือไม่เจ้าคะ
ตอบ
ทำดีแล้ว ให้เพียรต่อไปเถิด นิมิตหมายการเห็นธรรมคือเกิดปัญญาเห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดล้วนมีดับเป็นธรรมดา ฝึกตาในให้เห็นอนิจจลักษณะของธรรมนั้นๆ อย่างสม่ำเสมอหรือเป็นปกติภาวะ อกุศลใดยังละไม่ได้คลายไม่หลุด ก็ให้พยายามต่อไป อย่าท้อ แล้วก็อย่าชะล่าใจ อาการที่ปรากฏทุกอย่างล้วนยังอยู่ในเส้นทาง...ไม่มีอะไรๆๆ...ธรรมะแม้ไม่รู้จักชื่อ แต่ก็สัมผัสได้ด้วยใจ เอาเพียงผู้รู้กับธรรมารมณ์ผู้ถูกรู้ แค่นี้ก็พอ.
๑๘๗.

ถาม
จิตยึดติดชอบไปเกี่ยวไปข้องกับสิ่งที่เดินเข้ามาในชีวิตส่วนมาก จะเป็นบุคคล พอสนิทจิตชอบยึด ติดพอไม่ได้ดังใจก็เกิดอาการ จิตตกจิตห่อเหี่ยว หวาดระแวงไม่อยากคบกับใครกลัวใจตัวเองไม่อยากเจ็บเพราะเอาจิตตัวเองไปข้องแวะกับเขา จะแก้จริตอย่างไรถึงจะให้จิตเป็นปกติ มองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา โดยที่ไม่ทุกข์กับมัน เมตตาลูกช้างด้วยเจ้าคะ
ตอบ
ก็ฝึกสตินี่ไง แก้ได้ทุกจริต แต่ต้องทำให้ถึงธรรมจึงจะวางได้.
๑๘๖.

ถาม
ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่ฝึกเรื่องการเจริญสติมาประมาณ 9 เดือน และก็พอเริ่มรู้สึกตัวบ้างแต่ขณะที่ปฏิบัติพยายามใส่เจ้าความรู้สึกตัวเข้าไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะทำอะไร แต่บางครั้งก็ยังเผลอจนได้ แต่ก็ยังดีเมื่อเผลอไปยังกลับมารู้ได้ เมื่อเร็วๆนี้มีไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดบ้านอารีย์ค่ะ มีอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของหลวงพ่อคำเทียนท่านพูดถึงคำว่า กายในกาย คืออะไรเจ้าคะอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ แล้วท่านก็พูดถึง คำว่ากายเนื้อ กายหยาบ สัมพันธ์หรือแตกต่างกับการเจริญสติอย่างไรคะ
ตอบ
ความหมายของคำว่า “กายในกาย”
อาการทุกอย่างที่ปรากฏในร่างกายนี้ ชื่อว่ากายในกาย การเห็นกายในกายด้วยปัญญาจึงจะละวางกายนี้ได้ จิตไม่หลงปรุงแต่งไปตามอาการ..... ในอารมณ์การเจริญสติแบบนี้จะนับจาก ได้เข้าถึงอารมณ์รูปนามเป็นต้นไป คือคนที่สามารถแยกตัวรู้ออกจากตัวคิดได้ จะเข้าใจคำๆ นี้
กายละเอียดบางครั้งเรียก “ธรรมกาย” นี่หมายถึงองค์ธรรมที่ปรากฏกับจิตของอริยบุคคล....การฝึกสติจนได้อารมณ์นั่นแหละคือเริ่มต้นการสัมผัสการละเอียด....รู้อยู่กับกายหยาบเสียก่อน ให้รู้กายในกายในอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย จนเกิดปัญญาเห็นทุกขสัจจะของกายเนื้อหรือกายหยาบ แล้วจิตจะวางกาย เวทนา จิต แล้วธรรมารมณ์ที่ละเอียดหรือ “ธรรมกาย” ก็จะปรากฏ บางคนก็เรียก “กายใน”.
๑๘๕.

ถาม
หนูเริ่มฝึกการเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียนมาได้ประมาณ 1 ปีกว่าแล้วค่ะ ในชีวิตประจำวันบ้าง และมีโอกาสได้ไปฝึกในรูปแบบครั้งละ 7 วันที่วัดป่าโสมพนัสมา 3 ครั้งแล้ว มีความรู้สึกตัวในชีวิตประจำวันดีขึ้นตามลำดับ แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้แต่บ่อยครั้งก็จะรู้สึกตัวเอง เวลาคิดก็จะไม่ไปไกลค่ะ จะรู้สึกตัวขึ้น แต่ตอนนี้หนูมีความรู้สึกใจมันสลดกับชีวิตที่เป็นอยู่ รู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ชีวิตในแบบที่ต้องการ หลายครั้งมีความรู้สึกว่าเสียดายเวลากับการใช้ชีวิตแบบนี้ (ชีวิตของหนูก็เหมือนคนทั่วไปค่ะคือทำงานประจำ ไม่มีอะไรโลดโผน) อยากไปใช้ชีวิตกับการปฏิบัติธรรมจนทำให้ถึงที่สุดทุกข์ หนูไม่แน่ใจว่ามันเป็นปัญญา หรือ ตัณหามาหลอก ทุกครั้งที่คิด รู้สึกตัว มันก็หาย แต่ใจมันจะยังรู้สึกสลด และความคิดแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากค่ะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเค้ามาทำให้เป็นทุกข์อะไร หนูกราบเรียนถามหลวงตาว่าหนูจะมีวิธีตรวจสอบตัวเองอย่างไรว่าหนูต้องการไปปฏิบัติธรรมจริงๆหรือหนูกำลังถูกตัณหาหลอกอยู่ ขอความเมตตาจากหลวงตา
ตอบ
ความคิด ภาษาบาลีเรียกว่าสังกัปปะ ถ้าคิดดีคิดถูกตามธรรมเรียกว่า สัมมาสังกัปปะ แต่ถ้าคิดผิดคิดชั่วเรียก มิจฉาสังกัปปะ
ความคิดเห็นที่ถูกต้องเป็นธรรม จะนำออกเสียได้ซึ่งทุกข์ มีลักษณะที่พึงสังเกตได้อยู่ 3 ประการ ได้แก่
1. เนกขัมมสังกัปปะ คิดออกจากกาม ความใคร่ในอารมณ์ทั้งหลาย มีดีใจเสียใจ พอใจไม่พอใจ เป็นต้นอันเกิดจากผัสสะอายตนะ ตาหู –รูป รส กลิ่น เสียง เป็นต้น เพราะโดยสัจจะเนื้อแท้แล้ว สังขารทั้งหลายทั้งปวงล้วนมายา
2. อัพยาปาทสังกัปปะ คิดที่ไม่พยายามปองร้ายใครผู้ใดเป็นจิตประกอบด้วยกุศลเมตตา ไม่มีความเครียดแค้นฝังใจ
3. อวิหิงสาสังกัปปะ ความคิดชนิดที่ไม่นึกเบียดเบียนใครให้ได้รับทุกข์โทษ
อยากออกปฏิบัติธรรมจริงๆ คงเป็นข้อแรก คงเป็นเพราะเห็นทุกข์โทษของการอยู่กับวิถีชีวิตที่เดินไปด้วยความคิดอารมณ์แบบซ้ำซาก แต่ชีวิตจริงที่สัมผัสได้ในปัจจุบันขณะ กลับมีน้อย จึงเกิดนิพพิทาโหยหาสัจจะของชีวิต.
๑๘๔.

ถาม
เนื่องจากลูกมีคำถามที่คาใจมานานลูกเคยทำแท้งมา 2 ครั้ง (ด้วยความจำเป็น เนื่องจากแฟนมีภรรยาแล้ว)แต่ครั้งนี้ตั้งท้อง เราได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็มีภาวะแท้งคุกคาม ลูกรู้สึกผิดมาตลอด แล้วอารมณ์นี้มันก็คอยตามลูกอยู่ตลอด ลูกไม่สามารถตามอารมณ์ได้เลย โทษตัวเองอยู่ตลอด ลูกทราบว่าลูกทำบาปมหันต์ ทั้งที่รู้ทั้งรู้ ลูกจึงอยากขอหลักธรรมในการดำเนินชีวิตต่อไปว่าควรทำอย่างไรต้องขอรบกวนหลวงตาด้วยนะคะ
ตอบ
อันว่า “ กรรม” คือการกระทำ ทำดีเรียกว่า “ทำบุญ” ทำไม่ดีเรียกว่า “ ทำบาป” ทำอะไรด้วยใจว่างๆ ตามหน้าที่เรียกว่า “ทำงาน” การทำสิ่งใดแม้จะถูกผิด แต่ก็เกิดเป็นปมอุปทานในจิต คิดจนเป็นอารมณ์ ทับถมใจไม่ให้มีพื้นที่แห่ง “ ความว่าง” วกไปเวียนมา เวียนคิดผิดถูก รัก ชัง ชอบ เกลียด อาการเช่นนี้เรียนกว่า “กรรมเวร”
การกระทำใดที่ทำไปด้วยจิตหลง โลภ โกรธ อันเป็นผลของอวิชชา ก็เป็นธรรมดาที่ความรู้สึกนั้นต้องเวียนกลับมาทำให้คิดอีกเป็นวัฏจักร หรือ สังสารวัฏ นี่แหละ “โรคของสัตว์โลก” ผู้ไม่รู้แจ้งสัจธรรมชีวิตประมาทก็มีแต่จะเพลินหลงเดินเข้าไปในดินแดนแห่งมารโดยไม่รู้ตัว โดยมีเหยื่อล่อ คือ การได้สนองความอยากความเพลินชั่วขณะ แต่จะสะสมในจิตจนมากพอแล้วก่อเกิดเป็นปัญหาแล้วๆ เล่าๆ อยู่อย่างนี้ จิตที่เดินหลางนี้น่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด จิตติดเชื้อควรที่ต้องฉีดวัดซีนสติปัญญา และพักผ่อนด้วยการระลึกรู้อยู่กับห้องกายานุปัสสนาสักระยะ พักฟื้นได้กำลังใจแล้วค่อยไปคิดต่อ
เฮ้อ....เรื่องของใจแท้ๆ เลยนะ ก็อย่าคิดมาก หาอะไรทำแล้วนำงานมาเป็นอารมณ์ก็ได้ จิตจะได้คลายตัวบ้าง....อดีตแท้งแล้วก็แท้งไป ปัจจุบันอยากมีใหม่ แต่เหตุปัจจัยมันไม่ให้ ก็ต้องปล่อยวางอีกเช่นกันนั่นแหละ อย่ามาแบก ทุกข์ทั้งหลายตั้งอยู่ได้เพราะเราปล่อยวางไม่เป็นเท่านั้น.......อย่าไปโทษตัวเองเลย จะเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ ตัวตนเราจะมีซะที่ไหน ให้เอาปัญญามาคิด มันก็แค่ความรู้สึก(บาป) อย่าพึ่งให้มัน “ปรุง” เป็นบาปซิเธอ ตัดมันออกไปก่อน ตัดไม่ขาดก็ให้รู้ดูเฉยๆ หากทำไม่ได้ หรือไม่ชำนาญก็ขยันหมั่นฝึกไปเรื่อยๆ จิตติดอารมณ์ทุกข์-สุข ต้องค่อยๆ มองหาทางออก ทางสว่างโล่งโปร่ง ว่างๆ จิตเฉยๆ ไม่ปรุงแต่ง ไม่สุข ไม่ทุกข์ มันมีอยู่ อย่าท้อสิโยม
กิเลสติดใจเหมือนความสกปรกติดในเสื้อผ้า มากน้อยอยู่ที่ความหลง สติระลึกรู้อยู่กับกายอย่าพึ่งสนใจจิต เฉยกับความคิด ตัดญาติกับความคิดแล้วผูกมิตรรู้อยู่กับกาย ทำจริงๆจังๆ สักอาทิตย์คราบสกปรกคงหลุดออกไปได้
หลายคนที่เขาต้องแท้งมากกว่าเรา เขายังวางได้ อย่าคิดมาก สู้อารมณ์ตรงๆ ด้วยสติ เฉยกับมันอย่าทำกรรมเพิ่ม หากยังไม่ได้ก็ต้องใช้คาถา หมั่นสวดมนต์ภาวนาบ้างก็ได้ ตั้งจิตแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้เขา รักษาศีล 8 บ้าง บางเทศกาลและช่วยสริมสร้างบารมีธรรม แล้วที่สำคัญหมั่นฝึกสติให้แหลมคม จนเกิดเป็นอารมณ์วิปัสสนาญาณ เพื่อจะได้ตัดเหตุของการปรุงแตงได้
ขยันระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันให้ชำนาญเถอะ แล้วจะประจักษ์แจ้งแก่ใจว่า ทุกข์นี้จิ๊บๆ นัก.
๑๘๓.

ถาม
ทำอย่างไรถึงจะกำจัดความกำหนัดให้หมดไปได้ครับ สติเอาไม่อยู่สักที
ตอบ
น้ำเยี่ยวจักจั่น จะไปดับไฟบรรลัยกัลป์ได้ไง สติธรรมดา กับมหาสติ ไปเรียนรู้คำ 2 คำนี้ให้ดี.
๑๘๒.

ถาม
กำลังมีความทุกข์จากคนใกล้ชิดกำลังป่วยมาก ความคิดจะวนเวียนอยู่แต่ในเรื่องความเจ็บป่วยนี้ มีความวิตกกังวลจนรู้สึกแน่นเหมือนมีก้อนแข็งๆจุกที่หน้าอก บางครั้งรู้สึกตัวชาและใบหน้าชา เมื่อเกิดอาการดังกล่าวจะใช้วิธีดูจิต เห็นความคิดที่ผุดขึ้น เมื่อรู้ทันก็ดับไป เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวล าทำให้ความแน่นหน้าอกคลายลงได้เป็นช่วงๆอยากขอรับคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมที่ได้ผลในการคลายทุกข์ ไม่ทราบว่าวิธีที่ทำอยู่ถูกต้องหรือไม่และต้องฝึกปฏิบัติอย่างไรอีกบ้าง
ตอบ
ควรวางเสียเถิด เรื่องของเขากับเรามันคนละชีวิต อย่าเอาความคิดมาแบก ไม่ใช่เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข แต่เป็นเพียงเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายเท่านั้น...หากคิดจะยุ่งเรื่องของเขา ใจเราต้องวางได้ให้มากกว่านี้
มันถูกเป็นขณะๆ ไป มันขึ้นอยู่กับสติกับความคิดว่าในขณะนั้นๆ มันจะเหมาะสมกันหรือไม่ หากกิเลสหนา ตัณหามาก ความคิดความหลงมากกว่า ถึงจะดูได้ หรือดูถูกวิธี มันก็ไม่ดับ เพราะพลังไม่พอ อย่าเน้นที่ผล ควรเน้นธรรมด้วยการสร้างเหตุปัจจัย.
๑๘๑.

ถาม
การเกิดในชาติภพต่อไปมีจริงไหมพิสูจน์ได้อย่างไร
ตอบ
จริง, พิสูจน์ได้ด้วยการฝึกฌานจิตจนระลึกชาติได้ก็จะเห็นเอง หรือพิสูจน์ได้ด้วยการทดลองตายดูด้วยตนเอง.
ถาม
การปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ในชาตินี้เท่านั้น ใช่หรือไม่
ตอบ
ในทุกๆชาติที่เกิด
ถาม
ถ้าเป็นไปอย่างข้อสอง บางคนที่เขาไม่ได้ทุกข์มาก ก็ใช้ความอดทน ก็น่าจะผ่านชาตินี้ได้ (หากมีชาติเดียว) เพราะเห็นบางคน เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม เขาอาจจะทุกข์บ้าง แต่เขาก็มีความสุขมาก และอาศัยทำดีอย่างเดียว (ศีล)
ตอบ
คนพาลปัญญาทรามย่อมไม่อาจล่วงรู้ธรรมของสัตบุรุษได้เลย สุขทุกข์ที่เข้าใจเป็นไปด้วยอำนาจธรรมที่หยั่งถึง กิเลสตัณหาเหมือนฝ้าบังนัยน์ตาของสัตว์โลก ....ไม่ใช่ปฎิบัติธรรมเพื่อทุกข์คลายแล้วจะได้เสพสุข แต่นี้เป็นการทำให้เหนือสุข เหนือทุกข์ เพราะการเห็นแจ้ง.
ถาม
เคยอ่านกระทู้หนึ่ง คนเขียนบอกว่ามีคนถามว่า หากเกิดชาติภพหน้าแล้วจำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่คนเดิมแล้ว การปฏิบัติธรรมชาติภพนี้ทำเพื่ออะไร ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรครับ
ตอบ
ไม่มี..... เพียงเพื่อปฏิบัติไม่ให้หลงเป็นทุกข์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น