ร่วมเขียนรายงานความรู้สึก ประสบการณ์ และผลที่ได้รับจากการฝึกเจริญสติที่วัดป่าโสมพนัส
ส่งมาที่ E-mail : info@watsomphanas.com
"แสดงธรรม prapaisiri sarikit 25/11/52 ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ไร้เสียงจากผู้ที่กระทำตนเป็นต้นแบบ นั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองวางคว่ำมือไว้บนเข่า พลิกมือขวาตะแคงขึ้นอย่างช้าๆ ยกมือขวาขึ้นตรงๆมืออยู่ที่ระดับหน้าอก เอามือขวามาไว้ที่สะดือ แล้วเปลี่ยนมายกมือซ้ายตะแคงขึ้น ยกมือซ้ายขึ้นตั้งตรงมือซ้ายอยู่ที่ระดับหน้าอก ลงมือซ้ายมาไว้ที่สะดือทับมือขวาที่มาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เลื่อนมือขวาขึ้นมาที่หน้าอก แล้วเอามือขวาออกมาด้านข้างลำตัวระดับหน้าอก ลดมือขวาวางลงบนเข่าขวามือยังตะแคงไว้ คว่ำมือขวาลง แล้วมือซ้ายก็กระทำเช่นเดียวกัน าไว้ที่สะดือทับมือขวาที่มาอยู่ก่อนหน้านี้แล้วล้วเปลี่ยนมายกมือซ้ายจนมือทั้งสองวางคว่ำลงบนเข่าทั้งสอง เหมือนท่าตั้งต้น แล้วต้นแบบก็ยกมือแบบเดียวกันนี้ซ้ำไปซ้ำมา อีกหลายรอบ สักครู่ก็ลุกขึ้นพร้อมกับบอกว่า “ยังมีอีกท่า เรียกว่า เดินจงกรม เมื่อตระกี้เรียกว่า การสร้างจังหวะ มีทั้งหมด 14 จังหวะ” แล้วก็เดินเป็นตัวอย่างให้ดู ก้าวเท้าซ้าย ขวา ประมาณ 10 กว่าก้าว แล้วก็เดินกลับมาที่จุดที่เริ่มต้น แล้วก็กลับตัว เดินก้าวไปเหมือนครั้งแรก “ยกมือก็ให้รู้สึกตัวนะ แล้วเวลาที่เดินก็ให้รู้สึกที่เท้า ที่มันกระทบกับพื้น ไปลองทำดูนะ” นี้เองที่เป็นบทเรียนแรกของการเข้ามาปฏิบัติธรรม ที่เรียกกันว่า “การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว”และเป็นการแสดงธรรมของหลวงตาให้กับผู้ที่มาใหม่ ณ วัดป่าโสมพนัส อำเภอพรรณานิคมจังหวัดสกลนคร ---------------- หญิงสาวผู้หนึ่ง มาปฏิบัติธรรมสองสามครั้งแล้ว ขณะกวาดวัดทำความสะอาดในตอนเช้าวันหนึ่ง เกิดรู้สึกตัวว่าเป็นคนที่ไม่มีความอดทน ขณะนั้นหลวงตาก็เดินผ่านมา หลวงตา : โยม..เป็นอย่างไรบ้าง? (สอบถามด้วยอาการเรียบๆเฉยๆ) หญิงสาว : รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่อดไม่ทนเลยคะ (กล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ) หลวงตา : ถ้าอย่างนั่น ก็อดทนซะ หญิงสาว : ........... หญิงสาวแสดงอาการยอมรับฟังคำสั่งสอนนั้นจากหลวงตาอย่างพิจารณา พร้อมที่จะนำไปปฏิบัติ แม้ยังไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใด เป็นคำสอนที่เรียบง่าย ตรง ลัดสั้น ชัดเจนที่สุด แล้วหลวงตาก็ชี้ให้ดูรังมดแดงที่แฝงอยู่บนต้นมะม่วงใกล้ๆ กันนั้นเอง หลวงตา : มดแดงตัวเล็กๆ แต่แสนขยัน มีความอดทน มีเพียรความพยายามที่จะการสร้างรังจากใบไม้ มันจะใช้น้ำลายของแต่ละตัวมาประสานใบไม้แต่ละใบ ให้ใบไม้ห่อตัวจนกลายเป็นรังขึ้นมา จากนั้นหญิงสาวก็ฝึกเรื่องความอดทนต่อแรง(อารมณ์)ที่จะมากระทบทางกายและใจ ทั้งแรงที่เกิดขึ้นจากภายนอกและภายในตนเองเรื่อยมา โดยใช้เคล็ดวิชชา เพียงแค่ว่า “ดูกายเคลื่อนไหว ดูกายรับรู้” “อะไรที่เกิดขึ้นนั้นเพียงแค่รู้ เพียงแค่อาศัยระลึกเท่านั้น” จากนั้นเธอก็เพียรเห็นธรรมะอื่นๆ ได้อย่างง่ายๆ และเป็นปกติที่สุด ความอดทน ความเพียรพยายาม เป็นธรรมของผู้ที่ต้องการเดินไปบนเส้นทางสายเอกเส้นนี้ ให้สามารถเดินผ่านไป จนถึงที่สุดทางของความจริงแท้แน่นอนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป..นิพพาน ---------------- วันหนึ่งขณะที่หลวงตากำลังจะเทศน์หลังทำวัตรเย็น บรรยากาศเงียบไปสักครู่ใหญ่ๆ หลวงตา : อีนางนี่ ทาแป้งทาครีมอะไรมารึ หลวงตาเหม็น หลวงตาแพ้กลิ่นพวกนี้ เด็กหญิงหนึ่ง : (ยิ้ม หัวเราะคลิกคลักกับเพื่อนข้างๆ อย่างแจ่มใส) ขณะนั้นมีเด็กหญิงอีกคนหนึ่ง ลุกขึ้นมาปิดพัดลม หลวงตา : เอา..อีนาง คนนั้น ปิดพัดลมทำไม (น้ำเสียงแก้มหยอก) เด็กหญิงสอง : ก็...แม่ชีท่านบอกให้หนูปิดนี้คะ (น้ำเสียงปนความโกรธเคืองออกมา) หลวงตาหัวเราะ แล้วพูดขึ้นอีกว่า หลวงตา : หลวงตาคอแห้งจังเลย เด็กหญิงสอง : หนูจะไปเอาน้ำมาให้นะคะ (พร้อมกับจะลุกขึ้น เพื่อไปเอาน้ำมาให้หลวงตา) หลวงตา : ไม่ต้อง ๆ นั่งเถอะ หญิงสาวผู้หนึ่งมองดูแล้วอึ้งไปสักขณะจิต มองเห็นภาพนั้นแต่ไม่เหมือนภาพการสนทนาธรรมดาๆ เป็นภาพที่ติดตาติดใจ เหมือนเป็นการเปรียบเทียบระหว่างของสองสิ่ง เด็กหญิงหนึ่ง ไม่ยึดเอาคำพูดของหลวงตามาเป็นอารมณ์ที่ส่งผลว่ากำลังถูกตำหนิ แถมยังหัวเราะได้อย่างสดใส แต่เด็กหญิงสอง ยึดเอาอารมณ์เอาคำพูดของหลวงตามาเป็นอารมณ์ว่ากำลังถูกตำหนิ เป็นเวลาที่นานกว่าที่หญิงสาวจะรู้ว่า นั่นคือ การแสดงธรรมของหลวงตา ซึ่งเหมือนเช่นเดียวกับพุทธวิธีที่พระบรมศาสดา ได้ทรงแสดงธรรมไว้ เมื่อ 2,500 ปี ล่วงมาแล้ว คือการสอนแบบไม่สอน ยกเอาสัจจธรรมออกมาให้เห็นและให้ได้สัมผัสกันจริง มิใช่เป็นเพียงอักษรที่กล่าวกันอยู่ในคัมภีร์ มิใช่เพียงคำกล่าวอ้างอิงเล่าขานว่าเป็นของบุคคลนั้นบุคคลนี้ หรือแม้แต่อ้างอิงว่าเป็นของพระศาสดา เพื่อให้เราได้พิสูจน์และสัมผัสได้จริงๆ และมีภาพที่สะท้อนออกมาจึงเป็นเหมือนกับกระจก ที่ส่องเข้าเข้ามาให้เห็นภาพด้านในของตนเอง คือ การเห็นตัวเองที่เป็นแบบเดียวกับเด็กหญิงสอง ที่ไปยึดเอาคำพูด กริยาอาการมาเป็นอารมณ์ จนเกิดความพอใจไม่พอใจต่อคำพูดหรือกริยาอาการนั้นๆ และเห็นว่าการกระทำแบบเด็กหญิงหนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง เพราะหากไม่โกรธแล้วจิตใจตนเองก็ไม่ขุ่นมัว บรรยากาศก็ไม่ขุ่นมัวไปด้วย เป็นที่สบายใจของบุคคลที่แวดล้อมด้วย ระหว่างขบวนการฝึกฝนและพัฒนาตนเองนั้น เมื่อมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้น หลายๆครั้งภาพการแสดงธรรมของหลวงตา จะผุดขึ้นมา มาเตือนจิตเตือนใจหญิงสาวทุกครั้ง ภาพสะท้อนย้อนไปให้เห็นการกระทำ ว่าอะไรทำให้เราโกธร ตัวเราเองหรือ? ผู้คนอื่นหรือ? สิ่งของหรือ? ไม่เลย นอกเสียจากอวิชชา(ความไม่รู้) และความเผลอ ----------------- สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว ปฏิบัติสมควรแล้ว เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์หมู่นั้นด้วยเศียรเกล้า กราบ กราบ กราบ. |
"ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่โสมพนัสลูกศิษย์ปลายๆ แถว2/11/52 “หากเวลานี้ใครได้มาพบหน้าตาของผู้เขียนก็คงคิดว่าอายุยังน้อย เพราะดูหน้าตาสดใส ยิ้มง่าย ใจเย็น ถ้าใครได้มีโอกาสขอความช่วยเหลือตามความสามารถที่มี ก็จะได้รับความช่วยเหลือกลับไป และถ้าใครได้มาร่วมงานด้วยก็จะรู้สึกว่าเป็นคนที่เอาใจใส่ต่องาน ดูแลผู้ร่วมงานและไม่เอารัดเอาเปรียบ คนรอบข้างล้วนสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ ลูกค้าที่ใช้บริการก็จะรู้สึกว่าได้รับงานที่คุ้มค่าเกินจำนวนเงินที่จ่ายออกมา” ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่มุ่งหวังและตั้งใจไว้ว่า ผลบุญที่ได้รับจากการปฏิบัติธรรมในชาตินี้ จะหนุนนำทำให้เกิดอานิสงส์ต่างๆ และพร้อมกันนี้ ผู้เขียนได้ตั้งเป้าหมายสุดท้ายแห่งชีวิตเอาไว้ว่า ผู้เขียนจะขอเดินทางมุ่งสู่นิพพาน หากคลาดแคล้วแล้วไซ้ร ขอให้ได้กลับมาเกิดเป็นคนในดินแดนที่เจริญไปด้วยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขอให้ผลบุญของชาตินี้ติดตามไปและให้ได้เกิดมาเพื่อปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดา เมื่อยังมีอายุน้อยๆ จะได้มีเวลาเจริญในธรรมให้มากกว่าชาตินี้ เพื่อที่จะได้เกิด มรรค ผล นิพพาน โดยเร็วด้วยเถิด... ก้าวแรกที่ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมะของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า นับว่าเป็นการสร้างพื้นฐานแห่งชีวิตที่กำลังจะก้าวเดินไปสู่ความเป็นผู้ที่พ้นทุกข์ เริ่มต้นนับก้าวแรกที่ “วัดป่าโสมพนัส” ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะทึ่งในตัวพระอาจารย์ “หลวงตาสุริยา มหาปัญโญ” ในทางโลก ท่านก็เป็นผู้จัดการทุกสิ่งทุกอย่างในวัดได้อย่างมีระเบียบวินัยและลงตัวเป็นที่สุด พลอยทำให้ผู้เขียนได้น้อมนำเอาหลักการนั้นกลับมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ในทางธรรม เรื่องการปฏิบัติธรรม หลวงตาท่านก็มีเมตตาเป็นอย่างมาก ท่านคงจะพอมองเห็นจิตของผู้เขียนในขณะนั้นที่มันแอบเศร้าและเสียใจลึกๆคือมีทุกข์นั่นเอง แต่ด้วยความที่หลวงตามีเมตตาจิตมาก ทำให้ผู้เขียนสามารถผ่านพ้นอัตตาตัวตนและทิฐิมานะ รวมทั้งกิเลสตัณหามากมายและเต็มไปด้วยอุปาทาน ในครั้งแรกที่ได้ปฏิบัตินี่เอง ทำให้ผู้เขียนมองโลกได้สว่างขึ้น จึงได้รู้จักคำว่า “ตาสว่าง” จริงๆว่าเป็นอย่างไร (คุณดู๋ สัญญา เจ้าของรายการตาสว่าง น่าจะมาปฏิบัติธรรมบ้าง จะได้รู้ว่าไอ้ที่ทำรายการอยู่น่ะ มันทำให้คนตาบอดมืดมัวไปด้วยกิเลส) ได้รับรู้และเห็นข้อเท็จจริงของธรรมชาติที่เกิดมากขึ้น แต่ก็เพราะทิฐิมานะของตนเอง ทำให้เรามองไม่เห็นธรรมะที่ลอยไปลอยมาให้ดูอยู่ตรงหน้าทุกๆวัน ผู้เขียนรู้สึกตัวว่าความเพียรและความอดทนก็มีบ้าง แต่ปัญญายังอ่อนอยู่ จึงทำให้มารมาดึงตัวกลับบ้านไปได้ ในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ผู้เขียนก็กลับมาอีกเป็นครั้งที่ 2 พร้อมกับคนในครอบครัว เพราะในตอนนั้นผู้เขียนว่างงานไม่มีงานทำ ในการปฏิบัติธรรมครั้งที่ 2 นี้เอง ก็สามารถเอาชนะนิวรณ์ทั้ง5มาได้อย่างง่ายๆ มีจิตอันเป็นสมาธิมากจนถึงขั้นวิตกวิจารณ์เลยที่เดียว ซึ่งหลวงตาท่านก็เมตตามาช่วยแก้ไขอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ เมื่อกลับมาอยู่บ้านจึงกลายร่างไปเป็นพรหมอยู่ตั้ง 2 เดือน แต่กรรมนี้ยังไม่หมดด้วยความละโมบ(ศรัทรา)ในธรรมะของพระพุทธองค์ จึงทำให้ผู้เขียนต้องเดินทางกลับมาที่วัดป่าโสมพนัสเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งในครั้งนี้ได้พบเจอกับตัวจริงของนิวรณ์และกิเลสทั้งหลาย และโชคดีที่สามารถมีดวงตาเห็นธรรมะ ผู้เขียนเห็นว่าธรรมะก็เป็นเช่นนั้น มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา จิตใจก็ดีขึ้นมาเป็นลำดับ พอกับมีความเข้าใจในธรรมะที่เป็นของแท้ รู้จักความว่า “รู้สึก” “อยู่กับปัจจุบัน” และ “ปล่อยวาง” มากยิ่งขึ้น เมื่อมีโอกาสได้เข้าทำงานในออฟฟิศแห่งหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นและสร้างความประหลาดใจให้ตัวเองเป็นอย่างมาก คือการมองเห็นจิตใจคนอื่น เห็นว่าผู้อื่นกำลังรู้สึกและคิดอย่างไร พอมานั่งพิจารณาก็ทำให้รู้ว่า ที่เราไปอยู่วัดมาหลายๆ ครั้ง ทำให้เราเห็นตัวตนเห็นสถานที่ตั้งแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทานของเรา พอเราเห็นและเข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไร ทำให้เราเห็นคนอื่นๆ เหมือนกับที่เห็นในตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราหลงไหลไปกับกับมนต์อันวิเศษนี้ เพราะหลวงตาสอนให้อยู่กับตนเอง รู้สึกตัวให้มากที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้คนที่เคยรู้จักกับเรารู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าผู้เขียนเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายใน ทำให้ผู้คนต่างๆ มาสอบถามผู้เขียนมากมายว่าไปทำอะไรมาจึงเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมากมาย ผู้เขียนก็เล่าพอให้คนเกิดความสนใจ ทำให้เกิดศรัทธาที่จะตามผู้เขียนมาปฏิบัติธรรมบ้าง และสุดท้ายของวันที่เขียนนี้ ผู้เขียนนำคนเข้าวัดไปแล้ว 3 คน และกำลังจะไปในเดือนพฤศจิกายน 52 นี้อีก 1 คน^^ ผู้เขียนรับรู้ได้ด้วยตนเองเลยว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้ในชีวิตนี้ หนทางมันสั้นลงเข้ามาทุกวันๆ สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนมั่นใจขึ้นมากว่าตนเองจะต้องเดินไปถึงนิพพานได้แน่ๆ เพราะด้วยความศรัทธาที่มีต่อหลวงตาและคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้เขียนก็ยังปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเพียรในตัวผู้เขียนที่ยังคงมีอยู่มากมาย...สาธุ _/l\_ |
"ประสบการณ์ที่โสมพนัส" เพิร์ธ 10/08/52 ไปมาเมื่อไหร่ 4 ปีที่ผ่านมา ใครแนะนำ อ่านจาก internet แล้วนั่งรถเมล์ไป ความรู้สึกแรก ไม่รู้ใครเป็นใคร แม้แต่พระอาจารย์ ดูเหมือนดุ และไม่ต้อนรับเลย อยู่กี่วัน 7 วัน ความรู้สึกในการปฏิบัติ เดินเป็นบ้าเป็นหลัง เพราะนั่งเมื่อไหร่ก็ง่วง ปวดแขนมากๆจากการกวาดลานวัด แมลงก็ตอมหน้า ทนแล้วก็ทน เพราะลงทุนมาเอง ก็ทำให้ถึงที่สุด เคยไม่ชอบใจสุดๆ แต่ก็นึกได้ว่าจะมาปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรสามารถทำให้ล้มเลิกความตั้งใจได้ ได้อารมณ์อะไร ไม่รู้จักคำนี้ รู้แต่ว่าวันหนึ่งรู้สึกแปลกๆ เห็นทุกสิ่งไม่มีชื่อเรียก เหมือนเห็นโดยไม่มีคำพูด แต่สะเทือนใจมาก น้ำตาไหล พระอาจารย์มาถามตอนเย็น เล่าให้ฟัง ยังสะเทือนใจ จนน้ำตาไหล ประทับใจอะไร ประทับใจในความเอาใจใส่ของพระอาจารย์ เคยคิดว่าดุ แต่พบว่าถ้าเราขยันปฏิบัติ เชื่อฟัง พระอาจารย์มีเมตตาให้มากจนตื้นตันใจ ปัจจุบัน จากวันนั้นถึงวันนี้ กลับไปอีกแค่ 1 หน ร่วมงานบุญของวัดเป็นครั้งคราว ติดตามอ่านหนังสือพระอาจารย์ อ่านข่าวสารจาก web site และถามข้อสงสัยผ่านทาง web ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไร ยังทำงานอยู่และปฏิบัติธรรมควบคู่กับไป แต่ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้ปฏิบัติ รากฐานที่ได้จากการปฏิบัติครั้งนั้นลงลึกในใจ จนไม่สามารถมีชีวิตอย่างเดิมได้อีก อยากบอกอะไร ธรรมะไม่ใช่ปรากฏการณ์อะไรแปลกๆ ธรรมะไม่ได้เป็นไปเพื่อสนองความรู้สึกเก่ง แล้วธรรมะก็ไม่ใช่ไปวัด 1-2 ครั้งแล้วบรรลุธรรม อยากให้กำลังใจทุกท่านที่อ่านแล้วรู้สึกว่าทำไมเราไม่ได้ไม่เป็นอย่างเขา 4-5 ปีที่ผ่านมา ยังเป็นเพียงผู้เดินทาง ยังคงก้มหน้าก้มตาเดินด้วยความเพียร ยังไม่บรรลุธรรมข้อใด และยังไม่คิดจะเลิกปฏิบัติธรรม. |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น