ยินดีต้อนรับสู่...สถานที่แห่งการฝึกฝนตน พัฒนาจิต เพื่อชีวิตที่รู้แจ้ง  


ความเป็นมา
       สืบเนื่องจากการที่มีเว็บวัดโสมพนัสเกิดขึ้นก็ได้มีการพูดคุยในกลุ่มญาติธรรมว่าน่าจะมีกระทู้เกี่ยวกับหลวงตา (พระอาจารย์สุริยา มหาปญฺโญ)ก็ปรึกษาหารือกันตั้งแต่การตั้งกระทู้ มีผู้เสนอว่า "หลวงตา นานาทัศนะ" ก็มองกันว่าทางการเกินไป หรือถ้าจะเขียนเป็นประวัติเหมือนกับที่เขียนโดยทั่วไปก็ดูจะ ธรรมด๊า!!! ธรรมดา..ไม่น่าสนใจ คิดกันไปกันมาอยู่หลายรอบ ทางหนึ่งก็จะขอให้ญาติธรรมช่วยกันเขียนในมุมมองของแต่ละคนที่ได้สัมผัสหลวงตา อีกทางหนึ่งก็คิดกันว่าจะเขียนประเด็นหัวข้อให้ญาติธรรมเขียน คิดกันหลายทางก็ยังไม่ลงตัว ในที่สุด...ก็มาลงเอยที่ว่าทำไมไม่ให้ญาติธรรมแต่ละท่านเขียนลงเองเลยตามมุมมองของแต่ละคนเกี่ยวกับหลวงตาเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แต่ละท่านได้สัมผัส ช่วยกันตกแต่งหน้าตาหลวงตา สุดท้ายน่าจะได้ภาพรวม คือความเป็นหลวงตาของเรา ดีไหมคะขอเชิญสหายธรรมทุกท่านเขียนแสดงความคิดเห็นช่วยกันหน่อยนะคะ          ในบางครั้ง อาจมีการกล่าวพาดพิง เอ่ยชื่อหรือเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบางท่าน ต้องกราบขออภัยด้วยความเคารพ เพียงเพื่อให้สมจริงในสถาณการณ์นั้นๆ จึงใคร่ขอนุญาตในที่นี้.
           อุบาสิกา
                                                
                                                      รู้จักหลวงตาได้อย่างไร
              ผู้เขียน(อุบาสิกา) เริ่มสนใจการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน เมื่อปี2542  โดยญาติธรรมแนะนำ และพาไปปฏิบัติที่วัดธาตุโข่ง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ซึ่งหลวงพ่อดา สมาคโต เจ้าอาวาสในขณะนั้น (เป็นปีที่ท่านจำพรรษาที่อเมริกา) ท่านได้มาชวนผู้เขียนไปรับพระอาจารย์สุริยา มหาปญฺโญ ไปสอบพระธรรมฑูตเพื่อไปอเมริกา ซึ่งมีหนังสือจากหลวงพ่อมหาดิเรก เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธยานันทาราม ลาสเวกัส เนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งมาขอตัว
         ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนยังไม่รู้จักพระอาจารย์สุริยา วัดท่านอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ แต่ก่อนทางเข้าวัดเป็นดินลูกรัง หน้าฝนน่าจะทั้งแฉะทั้งลื่น เมื่อไปถึงที่วัดมีทางเข้าเล็กๆ มองเห็นศาลาหลังเล็กเก่าๆ อยู่หลังหนึ่งมีแท้งค์น้ำฝน2อันอยู่ด้านหน้าศาลา มองเห็นทางเดินสะอาด เห็นไม้กวาด ของเครื่องใช้เก็บเป็นระเบียบ มีเรือนพักอยู่หลังหนึ่ง มีกุฏิไม้อยู่2หลัง พระอาจารย์สุพินพระเพื่อนของท่านพาเดินเข้าไปด้านในมองเห็นกุฏิหญ้า มีที่สำหรับนอนและทางเดินจงกรมในนั้น บรรยากาศดูเงียบสงบดี ตอนนั้นท่านจำวัดอยู่รูปเดียว เมื่อท่านทราบว่าคณะเราไป ท่านออกมาต้อนรับ กุลีกุจอจัดอาสนะให้ครูบาอาจารย์และก้มกราบทำความเคารพครูบาอาจารย์ ผู้เขียนคิดว่าเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก พอหลวงพ่อดาแจ้งความประสงค์ที่มารับ ท่านก็จัดแจงตัวเองอย่างรวดเร็วไปได้เลยทันที ไม่ลืมที่จะเอากุญแจไปฝากยายหมานไว้

         พอเดินทางมาถึงอำเภอหนองหาน ช่วงนั้นมีการปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดโพธิ์ศรี หลวงพ่อดาได้รับนิมนต์ให้ไปแสดงธรรม เลยชวนท่านไปด้วย เย็นนั้นผู้เขียนได้ฟังเทศน์ของท่านเป็นครั้งแรกเล่าถึงประสบการณ์การปฏิบัติธรรมของท่าน ดังนี้
         แต่ก่อนท่านอยู่ที่วัดหนองแวงอารามหลวง จ.ขอนแก่น เพื่อศึกษาที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) วิทยาเขตขอนแก่นท่านเป็นผู้มีระเบียบวินัย เข้มงวดต่อข้อวัตรปฏิบัติ ดูแลกิจการงานวัดได้เป็นอย่างดี เป็นที่ไว้วางใจของหลวงพ่อเจ้าอาวาส (พระเดชพระคุณท่านพระเทพวงศาจารย์) หลวงตาเป็นผู้ใฝ่ต่อการปฏิบัติธรรมมาก่อนหน้านี้โดยเคยฝึกแบบพุทโธและพองยุบมาบ้าง หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้ดูแลพระนวกะ(ผู้บวชใหม่)ประจำศาลากรรมฐานรวมถึงฆราวาสที่เข้ามาถือศีลอุโบสถในวันพระและตามวาระโอกาสต่างๆด้วย พร้อมกันนั้นก็ได้รับแต่งตั้งเป็นครูสอนปริยัติธรรมประจำสำนักนี้ด้วย แต่ท่านมองดูว่าพรหมจรรย์นี้ยังไม่มีความมั่นคงเพียงพอหากท่านอยู่ที่นี่ต่อไปคงต้องสิกขาลาเพศเป็นแน่ แต่ท่านบอกว่าใจจริงลึกๆ แล้วหาได้มีความปรารถนาเช่นนั้นไม่ ผ้ากาสาวพัสตร์ยังมีมนต์เสน่ห์ ยังเป็นเกราะกำบังกิเลสได้ระดับหนึ่ง

         ต่อมาพระอาจารย์มหาประเสริฐ พระเพื่อนของท่านได้มาชวนให้ท่านไปปฏิบัติธรรม การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน ท่านมีความสนใจอยากไปบ้างและได้ไปเข้าคอร์สฝึกเป็นเวลา7วัน ที่วัดป่าชัยมงคล จ.ชัยภูมิ ช่วงวันที่ ของการฝึก ท่านได้ปีติ เกิดสมาธิ และมีความซาบซึ้งในธรรม พึงพอใจในวิธีการฝึกแบบเคลื่อนไหว และมั่นใจว่าเป็นหนทางนำไปสู่การดับทุกข์แบบลัดสั้นได้อย่างแน่นอน จากนั้นก็ได้เดินทางกลับวัด ท่านยังคงมีความต้องการใฝ่ปฏิบัติต่อ แต่ติดขัดที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสไม่อนุญาต ท่านไม่ละความพยายามหาโอกาสเข้าไปลาหลวงพ่ออยู่หลายครั้ง สุดท้ายได้โอกาสเหมาะท่านถือโอกาสไปกราบลาหลวงพ่อ หลวงพ่อคงจะรั้งไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ท่านถามว่า "ไปแน่หรือ เธอเป็นตีนเป็นมือของหลวงพ่อ รีบไป รีบกลับนะ หลวงพ่อให้เวลา เดือน" พระอาจารย์สุริยาตอบว่า"แน่ครับ หากผมไปแล้วไม่ได้ดี ผมจะไม่กลับมาให้หลวงพ่อเห็นอีก" หลวงพ่อเห็นในความตั้งใจของท่านจึงจำยอมอนุญาตให้ท่านไป

         ต่อมาคณะสงฆ์สายงานหลวงพ่อเทียนได้ไปเข้าค่ายอยู่ ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียวชัยภูมิ(เขื่อนห้วยกุ่ม) กำหนด 50 วัน หลวงตาได้ไปร่วมเข้าค่ายปฏิบัติธรรมด้วย ซึ่งก็ตามไปทีหลังโดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าสายงานฯจะรับหรือไม่ ในที่สุดพระครูบาอาจารย์คงเห็นในความตั้งใจจริงจึงอนุญาตให้เข้าร่วมปฏิบัติ หลวงตาได้อยู่ปฏิบัติจนครบและเกิดความมั่นใจว่ามาถูกทางและอยู่รอดแน่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์นี้ จึงได้ติดตามไปอยู่กับหลวงพ่อมหาดิเรก พุทธยานันโทตั้งแต่บัดนั้น ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ได้ช่วยหลวงพ่อมหาดิเรกในการเผยแผ่พุทธศาสนาทั้งในวัดแพร่แสงเทียนและวัดอื่นๆ ในสายงานที่หลวงพ่อมหาดิเรกพาไป ท่านอยู่กับหลวงพ่อมหาดิเรกได้ ปี ก็ได้กลับมาเยี่ยมบ้านที่บ้านนาหัวบ่อ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ในเดือนธันวาคม 2538 โดยมาจำวัดอยู่ที่วัดโสมพนัสซึ่งเป็นวัดร้างในขณะนั้น ญาติโยมเห็นว่าวัดโสมพนัสเป็นวัดร้างมานานจึงได้นิมนต์ให้หลวงตาจำพรรษาต่อตั้งแต่ปีนั้นจนถึงปัจจุบัน.

กำลังใจจากหลวงตา
ผู้เขียนได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของท่านอาจารย์กรุณา กุศลาสัย ที่เขียนถึงท่านพุทธทาสสมัยท่านเป็นสามเณร ตอนที่ท่านไปตกระกำลำบากที่ประเทศอินเดีย ท่านได้รับกำลังใจจากท่านพุทธทาส ซึ่งเมตตาส่งแรงใจเสริมกำลังใจให้ท่านผ่านทางจดหมาย โดยเขียนด้วยลายมือของท่านเองจำนวน 15 ฉบับ สำนวนที่ท่านเขียนคำพูดที่ท่านใช้อ่านแล้วไพเราะจับใจ เนื้อความในจดหมายมีทั้งปลอบโยน ชี้แนะ เป็นห่วงเป็นใย สารพัด คำขึ้นต้นและคำลงท้าย ผู้เขียนคิดว่าท่านแสดงความรักความเมตตาต่อท่านอาจารย์กรุณาเป็นอย่างมาก ท่านใช้คำว่าน้องชายทางธรรม ขนาดผู้เขียนเป็นเพียงผู้อ่านยังรู้สึกซาบซึ้งถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเป็นตัวสามเณรน้อยกำพร้าที่ไปอยู่ต่างแดนจะมีความรู้สึกขนาดไหน ท่านอาจารย์กรุณาเก็บจดหมายของพระอาจารย์ที่เขียนถึงท่านไว้เป็นอย่างดี ภายหลังท่านได้นำมาถ่ายทอดให้พวกเราได้อ่านกัน ผู้เขียนอ่านแล้ววางไม่ลงอ่านจบในวันนั้น ผู้เขียนได้กราบเรียนหลวงตาว่า คิดไม่ถึงว่าอานุภาพของความปรารถนาดีจากพระอาจารย์ที่มีต่อศิษย์จะมีอานิสงค์ถึงเพียงนี้ ที่สามารถทำให้ลูกศิษย์ที่ยากไร้กลายเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน
        ทำให้ผู้เขียนนึกนึกถึงลูกศิษย์ของหลวงตาท่านหนึ่งที่อยู่กับหลวงตาตั้งแต่สมัยเป็นสามเณร จนขณะนี้เรียนจบปริญญาโทมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และกำลังเป็นนักเขียนชื่อดังอยู่ในปัจจุบัน โดยเขียนในแนวธรรมะประยุกต์ ผู้เขียนได้ยินท่านเทศน์เมื่อหลายปีก่อน ในงานอบรมปฏิบัติธรรมคณะครูและนักเรียนโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย ณ วัดป่าปอภาร จังหวัดร้อยเอ็ด มีตอนหนึ่งท่านได้พูดถึงหลวงตาว่า หลวงตาพาไปปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำดอยโตน จังหวัดเชียงใหม่ หลวงตาเก็บอารมณ์อยู่บนเขาส่วนท่านปฏิบัติอยู่ข้างล่าง มีแอบนอนบ้าง ทำทีท่าไปตักน้ำบ้าง เดินเล่นบ้างตามประสาเด็กๆ และคิดว่าเป็นการฆ่าเวลาไปวันๆ หลวงตาได้นำข้อเขียนแห่งความปรารถนาดีมาให้ ถ้อยคำนั้นมีอยู่ว่า "ถ้าเธอไม่ลงมือทำ เธอจะไม่รู้แม้แต่คำว่าความอดทนเป็นอย่างไร" พอฟังเท่านั้นแหละ ความรู้สึกละอายตัวเองท่วมทับจับใจ จนทำให้ต้องเริ่มคิดที่จะตั้งใจเดินจงกรมและนั่งเจริญสติให้ได้อย่างคนอื่นเขา หลังจากวันนั้นจึงเริ่มเรียนรู้การฝึกฝนที่จะเข้าใจตนเองมากขึ้น และคำตอบที่ได้รับในเวลาต่อมาก็คือ "ทำให้รู้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์จนเกินไป" สิ่งที่ได้เรียนรู้เมื่อวัยเพียง 15 ปียังตราตรึงอยู่ในใจเสมอมา เวลาจะทำสิ่งใด คำสอนที่ว่า "ถ้าเธอไม่ลงมือทำ เธอจะไม่รู้แม้แต่คำว่าความอดทนเป็นอย่างไร" ยังก้องอยู่ในความรู้สึกคำสอนนั้นจะคอยเตือนใจอยู่ตลอดเวลา และนั่นจึงทำให้รู้ว่า ความเป็นครูนั้นช่วยลูกศิษย์เป็นคนดีได้อย่างไร (คัดลอกจากหนังสือ ชีวิตที่เหนื่อยนักพักเสียบ้าง เขียนโดย พระมหาวีรพันธ์ ชุติปัญโญ )
         ผู้เขียนเคยเจอท่านชุติปัญโญ 2-3 ครั้งที่วัด ท่านจะมาช่วยหลวงตาในช่วงจัดงานปฏิบัติธรรมเป็นประจำ ตามที่สังเกตทุกครั้งที่ท่านมาถึง ไม่ว่าหลวงตาจะอยู่ที่ไหนท่านจะต้องตามหาหลวงตาให้เจอก่อนเสมอเพื่อกราบทำความเคารพ(สามีจิกรรม)ผู้เขียนมองว่าปฏิปทาจริยาวัตรของท่านงดงามเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณต่อครูบาอาจารย์ ท่านจะแสดงความเคารพต่อหลวงตาไม่ว่าต่อหน้าและลับหลังอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และท่านเป็นผู้หนึ่งที่สนับสนุนหลวงตาเกี่ยวกับเครื่องโสตทัศนูปกรณ์ที่ใช้ในการเผยแพร่พุทธศาสนา
         หลวงตาจะเอาใจใส่เป็นห่วงเป็นใยลูกศิษย์ ที่กำลังมีความทุกข์ หรือมีปัญหาวิกฤตในชีวิต หลวงตาจะเป็นที่ปรึกษาและเสริมกำลังใจให้ มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ป่วยต้องเข้านอนโรงพยาบาล ขณะที่กำลังวิตกกังวลกับโรคที่เป็นอยู่ หลวงตาได้ฝากข้อคิดไปถึงว่า "มันบ่มีหยัง มันเป็นของมัน อยู่กับปัจจุบันลูกเดียว" (มันไม่มีอะไร มันก็เป็นของมันอย่างนั้น ให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น)เหมือนมีอะไรมาสะกิดใจทำให้ต้องนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว หลังจากนั้นค่อยๆ รวบรวมสติเพื่อให้อยู่กับปัจจุบัน พออยู่โรงพยาบาลไปได้สักระยะหนึ่งแพทย์เจ้าของไข้ ได้มาพูดแนวทางการรักษาและให้ต้องตัดสินใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลำบากใจเกินที่จะตัดสินใจเลือกได้ในเวลานั้น หลวงตาได้ฝากภาษิตมาอีกว่า "กายรักษาไม่ได้ แต่ใจรักษาได้  กายเป็นอนิจจัง อย่าให้ใจไปทุกข์กับมัน" ลูกศิษย์ท่านนี้ก็พยายามรักษาใจ เหมือนการเจ็บไข้มาเตือนให้ไม่ประมาท มีอาการเปลี่ยนแปลงไม่ซ้ำในแต่ละวัน แต่บางครั้งเวทนามาแรงเกินที่จะรับไหว มีอยู่วันหนึ่งท่านมีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน ทำให้ตกใจมากควบคุมสติแทบจะไม่ได้ คิดมากและวิตกกังวลไปต่างๆ นานา หลวงตาได้ฝากข้อความมาเตือนสติอีกว่า "อยู่นำใจเฮ็ดให้ทุกข์กะทุกข์" (มันอยู่ที่ใจทำให้ทุกข์ก็ทุกข์) ท่านรู้สึกว่าหลวงตามาให้สติได้ตรงเวลาที่ต้องการทุกครั้ง ทำให้ได้เรียนรู้ธรรมะจากการเจ็บป่วยในครั้งนี้ และเรียนรู้ว่าในขณะเจ็บป่วย ตนเองเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งแห่งตน พยายามมองโรคว่าเป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งของกายเท่านั้น โรคก็คือโรคไม่ใช่เรา โรคเป็นที่กายไม่ใช่เรา โรคเป็นที่กายไม่ใช่จิต ก็ต้องตั้งสติให้มั่น สร้างกำลังใจกำลังภายในให้กับตัวเอง กล้าที่จะเผชิญกับทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น กำลังใจจากผู้อื่นจะมีหรือไม่ก็ได้ หากเรามีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ หลวงตากล่าวว่าเท่ากับเราได้อัญเชิญบุคคลสำคัญยิ่งคือ พระพุทธเจ้า มานั่งเฝ้าไข้เลยเชียวหละ นึกไปนึกมาเรื่องแบบนี้เกิดได้กับทุกคน ผู้เขียนเองก็เถอะก็มีหลายโรค เมื่อทุกขเวทนามาถึงอาจมีมากและรุนแรงเกินกว่าที่จะรับได้ ดังนั้นก็ยังต้องขวนขวายในเรื่องการเจริญสติอยู่เช่นกัน ผู้เขียนไปเยี่ยมท่านหลายครั้ง รู้สึกเห็นใจต่อการเจ็บป่วยของท่าน ก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้ต่อสู้กับโรคด้วยสติที่เข้มแข็ง เมื่อใดที่รู้สึกท้อแท้ก็ขอให้นึกถึงคำสอนของหลวงตาเพื่อเตือนตัวเอง ขอให้ท่านอยู่กับโรคด้วยใจที่ปกติสาธุ

หลวงตาเฉียดตายหลายครั้ง
 จากการฟังเทศน์ ในบางครั้งท่านจะเล่าเรื่องราวต่างๆ สอดแทรกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศผู้ฟัง มีอยู่ตอนหนึ่งท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านไปธุดงค์ที่เกาะช้างจ.ตราด ท่านไปเที่ยวน้ำตกกับพระเพื่อน2รูป ธรรมชาติน่าหลงใหลน้ำตกสวยงามมาก ด้วยความที่ท่านเป็นคนชอบว่ายน้ำสมัยก่อนบวช ท่านกระโดดลงเล่นน้ำรูปเดียว ปรากฏว่าน้ำที่ท่านกระโดดลงไปเป็นน้ำวน ท่านถูกน้ำวนหมุนเอาตัวท่านไปเบื้องล่างอยู่นาน หลังจากนั้นก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมา แล้วก็หมุนจมไปใหม่ เป็นอย่างนี้ 2 รอบ พระเพื่อนที่ยืนอยู่ ตกใจรีบเข้ามาดึง แต่ อนิจจา!! ช้าไปเสียแล้ว ท่านถูกน้ำวนดูดเอาท่านจมหายไปอีก ท่านนึกได้ว่าน้ำวนข้างล่างคงแรงกว่าข้างบน น่าจะไหลซัดเอาท่านออกจากพื้นที่นี้ได้ ก็เลยดำลงไปให้ลึกให้น้ำมันซัดแล้วปล่อยตัวตามไป ในขณะนั้นท่านยังมีสติดีอยู่ ท่านก็เลยลองดำน้ำให้ลึกกว่านั้นอีก ให้ไปโผล่อีกทางหนึ่ง ท่านอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน พระเพื่อนท่านคิดว่าท่านคงไม่รอดแน่ ยืนรอด้วยความเป็นห่วง ในที่สุดจากที่หายไปพักใหญ่ ก็ได้ไปโผล่ขึ้นห่างจากบริเวณนั้นประมาณ15เมตร เป็นสิ่งเตือนใจพวกเราไว้เหมือนกันว่า ธรรมชาติที่สวยงามบางครั้งก็แฝงความโหดร้ายในตัวซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน
   
          หลวงตาถูกฟ้าผ่าที่วัดป่าหนองผักหลอด:ประสบการณ์เฉียดตายอีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นหลวงตาเก็บอารมณ์ช่วงรู้รูปนามใหม่ ๆ เดินจงกรมอยู่ที่วัดป่าหนองผักหลอด ฝนทำท่าจะตกมีเสียงฟ้าร้องคึกคะนอง มีแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ ท่านไม่หยุดการเดินจงกรมยังคงเดินต่ออย่างไม่ลดละ ช่วงนี้ประมาณ5โมงเย็น คิดในใจอย่างไรเสียวันนี้ต้องปฏิบัติจนบรรลุธรรมให้ได้ ทันใดนั้นฟ้าผ่าเปรี้ยงมาที่ต้นไม้ผลต้นไม้หัก เสาปูนกุฏิที่อยู่ใกล้แตกกระจาย หลวงตาสลบไม่รู้เรื่อง ผ้าจีวรขาดกระจุย รองเท้าแตะตราดาวเทียมกระเด็นหายไปข้างหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าท่านโดนฟ้าผ่า มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอน โมงเย็น อยู่ในท่านอนคว่ำหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด หลวงตาอยู่ในลักษณะเหม่อลอยจำอะไรไม่ได้เลย ท่านเดินออกไปในขณะที่พระสงฆ์กำลังทำวัตรเย็นกันอยู่ ผู้คนแตกตื่นต่างเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านหลวงพ่อมหาดิเรกต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน เพื่อฉีดยาและเย็บบาดแผล แล้วกลับมาพักฟื้นที่วัดโดยมาขึ้นแคร่ "ย่าง" ไฟอยู่ 2-3 วัน พร้อมกับความจำ (สัญญา) เริ่มคืนกลับมาดังเดิม คุณยายเหลียวโยมอุปัฏฐากสมัยที่ท่านอยู่ที่วัดหนองแวง เล่าให้ฟังต่อว่า ท่านนำร่างที่กระปรกกระเปลี้ย ขะมุกขะมอม หน้าตาซีดเซียวไปหาคุณยาย เหลียวและบอกว่าท่านโดนฟ้าผ่า คุณยายเหลียวจึงได้ดูแลจัดการช่วยเหลือท่านอยู่หลายวัน นับเป็นประสบการณ์เฉียดตายอีกเรื่องหนึ่งของท่าน

          ทำให้ผู้เขียนนึกถึงการปฏิบัติธรรมที่วัดโสมพนัสในช่วงสงกรานต์ปี 2548 จำได้ว่ามีฝรั่งมาฝึกด้วย ฝนตั้งเค้ามาทำท่าจะตก มีเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบ ลมพัด ดูสถานการณ์แล้วฝนตกแน่นอน ผู้ปฏิบัติคนไทยดูท่าไม่ดีขอหลบฝนไว้ก่อน มาอยู่รวมที่ศาลาส่วนฝรั่งถอดเสื้อลุยต่อ ฝนก็ยังไม่ตกทันทีกว่าฝนจะตกก็อีกตั้งนาน พี่ไทยบางคนเก็บเสื่อกลับกุฏิไปเลยก็มี หลวงตามาสอบอารมณ์ตอนเย็น สอนพวกเรา "กลัวอะไรกับฝน มันยังไม่ตกเลย คิดกันไปก่อน ไม่อยู่กับปัจจุบัน"ก็เป็นบทเรียนสอนพวกเราเหมือนกันว่าชอบเอาประสบการณ์เดิมมาตัดสิน ชอบคิดถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง วันนั้นพี่ไทยก็สอบตกตามระเบียบโทษฐานที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน

         รถพาหลวงตาตกเหวที่วัดถ้ำพวง !!! ผู้เขียนได้ยินหลวงตาเล่าเรื่องนี้ประมาณ 2-3 ครั้ง เล่าแต่ละครั้งก็เหมือนเดิมทุกทีท่านเล่าแต่ละครั้งก็ดูเป็นเรื่องขบขัน แต่คนฟังขันไม่ออกเลย
        
        วัดถ้ำพวง หรือเรียกอีกชื่อว่าภูผาเหล็ก ตั้งอยู่ที่อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร เป็นวัดของพระอาจารย์วัน ซึ่งท่านมรณภาพแล้วจากเครื่องบินตกพร้อมครูบาอาจารย์อีกหลายรูปเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันเป็นที่จำลองสังเวชนียสถาน จากประเทศอินเดีย คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีพิพิธภัณฑ์ ประวัติเรื่องราวของท่านพระอาจารย์วันด้วย ชาวจังหวัดสกลนครถือเป็นที่เคารพสักการะ และเสมือนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดอีกแห่งหนึ่งที่สวยงามมากการเดินทางค่อนข้างสะดวก

         กลับมาเล่าเรื่องรถพาหลวงตาตกเหวต่อ ญาติโยมบ้านนาหัวบ่อได้ไปนิมนต์หลวงตาไปชมสถานที่ดังกล่าว น่าจะเป็นช่วงที่หลวงตามาอยู่ที่วัดโสมพนัสใหม่ๆ ตอนนั้นยังไม่ได้สร้างสังเวชนียสถาน ครอบครัวที่พาไปปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ รถที่พาไปเป็นรถกระบะ มีญาติโยมนั่งข้างหลังอยู่หลายคน หลวงตาเล่าให้ฟังว่าตอนขาลงจากเขา หลวงตานั่งคู่กับคนขับ มีความรู้สึกว่ารถวิ่งเร็ว ผิดปกติ คนขับไม่สามารถบังคับรถได้เลย หลวงตาถามคนขับว่า เกิดอะไรขึ้น” คนขับตอบว่า เพื่อประหยัดน้ำมันเลยปลดเกียร์ว่าง แต่ตอนนี้ผมบังคับรถไม่ได้” ในบัดดลนั้นรถเริ่มส่าย ชนที่กั้นทางเหวี่ยงไปซ้ายทีขวาทีประมาณ ครั้ง พอครั้งที่ 6คนขับไม่สามารถหักพวงมาลัยกลับได้ หลวงตาไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านเฉย รถพุ่งลงเหวด้วยความเร็วสูง มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว สักพักหลวงตาค่อย ๆ ลุกสำรวจตัวเอง ก็ไม่เห็นมีอะไร รู้แต่ว่ารถพังยับต้องใช้รถเครนมายกขึ้นไปเข้าอู่ซ่อม กันชนหน้าก็หักหลุดออกอยู่ตรงนั้นนั่นเอง หันไปดูคนขับและโยมที่นั่งอยู่ข้างหลังมีเลือดโชกเต็มหน้าแต่ก็รู้สึกตัวดี หลังจากส่งเข้าโรงพยาบาลตรวจดูอาการแล้วทุกคนปลอดภัย เจ็บบ้างนิดหน่อย ผ่านไปบริเวณนี้ทีไร หลวงตาจะชี้ให้ดูนี่ไงหลักฐานเสาที่กั้นทางที่หักก็ยังอยู่เหมือนเดิม.


อุบายสอนธรรม
 อุบายในการสอนธรรมะของหลวงตา(พระอาจารย์สุริยา มหาปญฺโญ) มีหลากหลาย นับเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่เลียนแบบได้ยาก นอกจากท่านจะมีความรู้ในเรื่องปริยัติแล้วยังมีในส่วนของการปฏิบัติ เทคนิคการสอนที่ไม่ซ้ำแบบใคร ท่านให้โอกาสและให้เวลากับนักปฏิบัติทุกคน แม้มีผู้ปฏิบัติมาเพียงคนเดียวท่านก็สอน ท่านมีความสามารถในการถ่ายทอดธรรมะที่เข้าใจยากให้ดูง่ายและชวนติดตาม อุปกรณ์สื่อการสอนหาได้ง่ายๆ ตามที่มีอยู่ขณะนั้น เช่น ขวดน้ำ แก้วน้ำ กิ่งไม้ ไม้ขีดไฟ แม้แต่แกนมะม่วงก็เป็นอุปกรณ์ในการสอนได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านโยนแกนมะม่วงอ่อนมาข้างหน้าที่ผู้เขียนนั่งสร้างจังหวะอยู่   แล้วท่านก็ถามว่า"ปลูกขึ้นไหม" ผู้เขียนบอก"ไม่ขึ้น" แล้วท่านก็เดินผ่านไป ท่านจะพูดสั้นๆ ไม่มีคำตอบ ทิ้งเป็นปริศนาให้ผู้ปฏิบัติหาต่อ คำพูดของท่านจะจี้ใจคน ซึ่งปรกติไม่เคยคิดกลับต้องนำมาคิดว่าที่ท่านพูดหมายถึงอะไร วันหนึ่งผู้เขียนเอาหนังสือธรรมะไปอ่านท่านบอก "งูพิษ" ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันในตอนนั้น พอตอนหลังถึงมาบางอ้อว่าเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติจริงๆ เพราะเราจะยึดในสิ่งที่อ่านแล้วคิดว่าตัวเองเข้าใจ แต่แท้ที่จริงยังไม่ใช่ เมื่อเจอเหตุการณ์ที่มากระทบกับเราแรงๆ สิ่งที่เราอ่านมาก็ไม่สามารถช่วยเราได้ ต้องเจริญสติเท่านั้นเพื่อเป็นเกราะป้องกันสิ่งที่จะจรเข้ามากระทบใจเรา

            ขณะที่เรากำลังปฏิบัติอยู่ ในบางครั้งหลวงตาจะพูดสั้นๆ เหมือนพูดลอยๆ พอท่านเดินคล้อยหลังไปแล้วค่อยนึกออกก็มี ส่วนใหญ่ท่านจะพูดภาษาอีสาน เช่น ท่านจะพูดว่า"เข้าคอกได้แล้วบ่" (เอาจิตเข้ามาอยู่กับปัจจุบันได้หรือยัง)หรือ"เฮ็ดให้ฝนตก ยอดไม้มันถึงซิป่ง"(ทำให้ได้อารมณ์กรรมฐานปัญญาจึงจะเกิด)บางทีตามไม่ทันนึกว่าท่านพูดถึงฝนถึงต้นไม้ทั่วๆ ไป พอหลวงตาเดินไปแล้วค่อยนึกออกว่าท่านสอนก็มี หรือก่อนลงไปปฏิบัติ ท่านเคยพูดว่า "ทุบหม้อข้าวหม้อแกงเลยนะวันนี้" (เพียรให้ถึงที่สุดนะ) เป็นต้น

            หลวงตาจะมีนิทานเยอะที่เล่าไปพร้อมกับเปรียบเทียบให้เข้ากับพุทธศาสนาซึ่งบางทีก็นึกไม่ถึงเหมือนกันหรือคำผญาอีสานโบราณที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาท่านจะเล่าแล้วแปลให้ฟัง หรือเป็นปริศนาธรรม ท่านจะเล่าเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

            นอกจากนี้หลวงตายังเป็นพระเจ้าบทเจ้ากลอน (ผญาอีสาน)ก็เคยได้ยินได้ฟังบ่อยแต่จำไม่ค่อยได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งไปเดินธุดงค์ที่ถ้ำแก่นจันทร์แดง พอเห็นต้นจิก ต้นฮัง ท่านว่าเป็นกลอนเลย ต้องกระซิบบอกนายช่างทีที่ไปด้วยให้ช่วยกันจำหน่อย ท่านว่าไว้อย่างนี้

"เห็นดอกจิกคิดฮอดความหลัง
เห็นดอกฮังคิดฮอดความเก่า
เห็นดอกคัดเค้าปานซิเฒ่าบ่เป็น"

          หรือบางทีเวลาไปเข้าค่ายเก็บอารมณ์ หลวงตาจะเป็นพระที่มีอารมณ์สุนทรีย์มาก ท่านจะแต่งกลอนและอ่านให้พวกเราฟัง เห็นว่าเพราะดีก็เลยขอท่านไว้

พวกเอ๋ยพวกมด
อยากลิ้มรสเหยื่อหวานเที่ยวพล่านหา
พอได้กลิ่นน้ำตาลหวานโอชา
พากันมารุมกินจนสิ้นใจ
พวกมดมันหาเหยื่อเพื่อเลี้ยงท้อง
ไม่สะสมสิ่งของปองอยากใหญ่
แต่คนเราเมาเหยื่อเพื่ออะไร
ลองถามใจตัวดูให้รู้จริง

ผีเอ๋ยผีเสื้อ
พากันบินหาเหยื่อเมื่อแดดอ่อน
ปีกมีสีลวดลายคล้ายอาภรณ์
เที่ยวบินร่อนกรีดกรายตามสายลม
ผีเสื้อมันงดงามตามธรรมชาติ
ไม่แต่งวาดคิ้วหน้าทาดัดผม
เพราะคนเราเมากายหมายนิยม
จืตหลงจมงมงายน่าอายเอย

ห่อเอ๋ยห่อหมก
หมกรสหมกชาติกลาดเกลื่อนกล่น
รั้งรึงรัดลิ้นลิ้มลองผองผู้คน
ให้สับสนจริงเท็จอยากฝากคิดถึง

การปรุงแต่งมวลสารเรียกขานรูป
ดังสถูปพระธรรมล้ำค่ายิ่ง
สติเฝ้าปัญญาส่องมองให้จริง
ทะลุสิ่ง " อนัตตา " พาหลุดพ้น
  
จะมัวเฝ้าเอาอะไรกับกายนี้
ตรองให้ดีแล้วจะเห็นเป็นสังขาร
คือไม่เที่ยงเป็นทุกข์อันตรธาน
เป็นเพียงสารสื่อนำ  "ธรรมดา "
  
วัฏฏะวนเวียนใจใฝ่วกกลับ
กระส่ายกระสับพะวักพะวงถวิลถึง
ทุกข์เบ่งบานคลอเคล้าเฝ้าคนึง
มิรู้ซึ้งมายาจิตผิดทางพุทธ

พินิจใจไร้ความยึดถือ
โรคร้ายปรากฎเกิดแต่นอก
ในสงบเงียบดั่งภูผา
อายุวรรณะสมมุติว่ายังหนุ่ม
สุขะ พละ ก็เท็จลวงซ้ำ
แท้จริงธรรมชาติปรากฎ
เกิดดับลับลาเลือนแม้ผู้รู้ 

            หลวงตาเคยสอนว่า คนเราไม่ชอบเตรียมอาวุธไว้ต่อสู้กับศัตรู แต่จะคิดเตรียมเมื่อศัตรูเข้ามาจู่โจมแล้วทำให้เตรียมไม่ทัน เรายังประมาทกันอยู่มาก ไม่คิดที่จะเตรียมเสบียงไว้ใช้เมื่อจำเป็น ยังหลงกับสิ่งที่มีอยู่ว่าเป็นสิ่งจีรังยั่งยืน จะไม่มีวันที่จะพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก หลงว่าตนมีความสุขทั้งๆ ที่เป็นสุขที่ไม่แท้จริง ยังคงแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญไม่มีที่สิ้นสุดใช่ไหมกับการที่เกิดมาเป็นคน??พอใจเพียงแค่นี้หรือ ?? มันไม่ใช่สิ่งมายาหลอกเราหรือ เราจะแสวงหาแต่สิ่งภายนอกกายอยู่นานแค่ไหน ยังไม่พออีกหรือ เกิดมากี่ปีแล้ว ?? เมื่อไหร่จะถึงเวลามาศึกษาตัวเอง รู้จักตัวเองเสียที แล้วจะรู้ว่าธรรมะมีอยู่ในคนเราทุกคน เพียงแต่เรายังไม่รู้เคล็ดลับของการนำธรรมะมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ของจริงชอบทำเล่น ของเล่นชอบทำจริง เรายังประมาทกันอยู่มาก

ลองมาปฏิบัติจริงๆ จังๆ 7 วันรับรองเห็นผลแน่นอน ท่านจะพบว่ามีสิ่งมหัศจรรย์อยู่ในตัวเรานี่เอง แล้วเมื่อนั้นท่านจะรู้ว่าการเจริญสติเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว. 


เอกลักษณ์การสอน
ลักษณะการสอนธรรมะของหลวงตาก็เป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน จะดูเป็นธรรมชาติ ธรรมดา ฟังง่ายบางครั้งเหมือนไม่ได้สอน แต่พอเอะใจคิด อ้าว!! ท่านสอนนี่นา ฟังธรรมด้วยกันในเวลาเดียวกันแต่เข้าใจไม่เหมือนกัน ท่านจะฝึกให้พวกเราเป็นคนช่างสังเกต ท่านจะไม่บอกว่าให้ทำอะไร สำหรับผู้มาใหม่ท่านจะสอนหลักการปฏิบัติให้ เรื่องความเป็นอยู่ให้รู้จักสังเกตเองโดยดูจากผู้เก่า ถ้ามีอะไรแปลกๆ ครั้งแรกท่านจะไม่เตือนแต่ถ้ายังเจอครั้งที่2-3ละก็ ถ้าเป็นคนที่โดนเองไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เช่น มีอยู่คนหนึ่งคนอื่นๆ เขาตักอาหารใส่กาละมังกลมสีขาว คนนี้ตักใส่ถาดสี่เหลี่ยมที่โยมเขาจัดวางอาหารที่โต๊ะ หลวงตาคงเห็นหลายรอบแล้วเลยต้องบอกให้รู้ "เบิ่งผู้อื่นแด่แม้ เขาตักใส่อิหยังกัน ฟาดใส่ถาดบักใหญ่กว่าหมู่ " (ดูเขาดูเราบ้าง ไม่ใช่อยากทำอะไรตามใจตัวเองก็ทำ) หรือเรื่องการถอดรองเท้า ที่วัดก็จะมีป้ายบอกให้ถอดรองเท้านอกศาลา มีบางคนไม่สังเกตก็จะใส่เข้ามาด้านใน พอหลายๆ ครั้งเข้าท่านจะบอกแรงๆ เพื่อเตือนสติเหมือนกัน
        
          หลวงตาไม่ได้สอนเฉพาะเรื่องธรรมะอย่างเดียว ท่านสอนได้ทุกเรื่องแม้แต่เรื่องการแต่งกายของผู้หญิงท่านจะสอนว่า 
"ตีนผมให้เกลี้ยง ตีนซิ่นให้เพียง" (ผมให้หวีเป็นระเบียบ ชายผ้าถุงก็ให้เรียบเสมอกัน) มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านได้ยินโยมคนหนึ่งเดินเสียงดังสวบๆ (เป็นเสียงของผ้าถุง) ท่านเดินมาหาและทักว่านึกว่าเป็นเสียงใครตีกลองเพลที่ไหน ที่แท้เป็นเสียงเดินนี่เอง " ท่านก็จะบอกวิธีนุ่งให้ใหม่คือสูงกว่าตาตุ่มขึ้นมาหน่อย หรือแม้แต่เรื่องของการใส่ผ้าสะไบ ท่านก็สอนว่าเพื่อปกปิดอวัยวะไม่ให้เกิดความอาย สำหรับคนที่นุ่งกระโปรงอาจจะแหวกนั่นนี่ตามสมัยนิยมท่านก็สอนให้รู้จักหาผ้ามาปิดไว้หน่อย เป็นต้น ส่วนใหญ่โยมที่มาที่วัดมักจะถามหลวงตาเกี่ยวกับการแต่งกาย หลวงตาก็จะบอกให้ใส่เสื้อขาวผ้าถุงสีอะไรก็ได้ที่สุภาพ ถ้าระบุมากก็จะเกิดแฟชั่นการแต่งกายเกิดขึ้นในวัด เรื่องเครื่องสำอางของผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นครีม เป็นแป้ง ท่านจะบอกเลยว่าไม่ทาได้ไหม เหม็น ใครใช้เครื่องสำอางถ้ามีกลิ่นหลวงตาจะไม่เข้าไปคุยด้วยเลย มาที่วัดท่านไม่อยากให้ทำอย่างอื่น ต้องการให้ปฏิบัติอย่างเดียว เมื่ออยู่ที่วัดเวลาจะค่อนข้างเร็วมาก ใครชักช้าไปทีหลังก็จะอายเพื่อน ท่านจะสอนให้ทุกคนเตรียมพร้อมเสมอ บางคนรอฟังเสียงสัญญาณจากระฆัง บางวันอาจตีช้าหรือเร็วกว่าปกติก็มี หรืออาจไม่ตีเลยถ้าทุกคนมาพร้อมเพรียง กิจกรรมในแต่ละวันเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แม้แต่เรื่องสวดมนต์บางวันอาจสวดมาก บางวันสวดน้อย หรือเปลี่ยนบทสวดไปเรื่อย ๆ ตามเหตุตามปัจจัย
        
            ในบางครั้งท่านจะเทศน์เตือน แต่ผู้ฟังไม่รับ ท่านก็จะสอนจะๆ ในขณะนั้นเลย มีบางคนที่ชอบบันทึกมาก ท่านปรามแล้วไม่ให้ทำก็ยังเลิกไม่ได้สักที ท่านก็จะงดไปเลย มีวันหนึ่งท่านสั่งเก็บอารมณ์ ท่านเดินไปสอบอารมณ์ พอท่านคล้อยหลังไปหน่อย คว้าสมุดบันทึกจดคำที่ท่านสอนทันที หารู้ไม่ว่าท่านเดินย้อนกลับมา "ทำอะไร"  "จดบันทึกที่หลวงตาสอนเมื่อตะกี้ "  "ไม่ต้องเลย เลิกเดี๋ยวนี้ " คนนั้นก็เลยได้เลิกทำตั้งแต่บัดนั้น
         
            หลวงตาเคยสอนว่า "การฟังให้ฟังเฉยๆ ฟังแล้วให้ผ่านไปไม่ต้องจดจำ ถึงเวลาก็เป็นเองของใครของมัน" หรือบางคนหลวงตาสอนแล้วไม่มีการพัฒนา มาอยู่นานแล้วแต่ไม่ก้าวหน้าสักที ท่านก็จะบอกให้ไปหาครูบาอาจารย์ท่านอื่นท่านหมดปัญญาสอนแล้ว มีอยู่คนหนึ่งพอท่านว่าอย่างนั้นก็ขออยู่ต่อ และบอกว่าถ้าไม่รู้ธรรมเห็นธรรมจะไม่ยอมออกจากวัดโดยเด็ดขาด ในที่สุดก็สามารถเข้าใจได้เหมือนกัน
        
            สำหรับเด็กๆ หลวงตาก็จะให้ความเอ็นดู เมตตา เช่น เด็กหญิงน้ำริน อายุประมาณ4-5 ขวบจะไปวัดกับคุณย่าเป็นประจำ แต่งตัวน่ารักเป็นโยมรุ่นเด็ก เวลาไปวัดก็จะสวมเสื้อสีขาวแขนยาว กระโปรงสีดำ หลวงตาจะสอนให้เด็กหญิงน้ำรินกราบและฝึกประเคนอาหาร เก็บเสื่อ เวลาสวด หรือถวายทานก็จะได้ยินเสียงเด็กหญิงน้ำรินดังกว่าใคร บางวันที่เด็กหญิงน้ำรินหน้ามุ่ยอารมณ์ไม่ดี หลวงตาเห็นก็จะรู้ว่าน่าจะมีอะไรไม่สบอารมณ์ หลวงตาก็จะเรียกให้เข้าไปหาและเอาของเล่นให้ เพียงแค่นี้เด็กหญิงน้ำรินก็ยิ้มได้ตามประสาเด็ก
        
           บางคนที่กลัวตุ๊กแก หลวงตาจะมีวิธีการสอนจนเด็กหายกลัว ท่านจะพาเด็กไปดูใกล้ๆ แล้วจะจับตุ๊กแกให้ดู นี่ไงมันไม่เห็นทำอะไรหลวงตา แล้วท่านจะให้เด็กคนนั้นลองจับดู เด็กบอกว่า "เหมือนตุ๊กตายางเลยนะหลวงตา" ท่านจะมีวิธีการจัดการและพูดจนในที่สุดเด็กคนนี้ก็เลิกกลัว หรือมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กลัวผี เรียนอยู่ระดับม.ต้น คุณแม่เคยมาปฏิบัติแล้วก็อยากให้ลูกชายมาบ้าง ในเย็นวันหนึ่งในขณะที่หลวงตาเทศน์อยู่ ท่านเรียกเด็กชายคนนี้เข้าไปหา และยื่นที่เก็บกระดูกให้ และบอกว่าหลวงตาจะให้เอาของดีไปนอนด้วย เด็กก็รับไว้โดยที่ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ความแตกเสียก่อนเพราะผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เปิดดูก่อนก็เลยโดนหลวงตาเอ็ดเอา เด็กพาซื่อยังถามหลวงตาอีกว่าหลวงตาจะให้เอาไปไหม ในที่สุดท่านก็ไม่ได้ให้ไป
        
           สำหรับคนกลัวความมืด ท่านก็จะมีวิธีการสอนให้สู้กับมันตรงๆ แต่ไม่ได้เป็นการบังคับ เช่น ปรกติที่วัดจะปิดไฟเวลา ทุ่มในคืนเดือนมืดก็จะมองเห็นท้องฟ้าที่มืดมิดและมีดวงดาวเต็มท้องฟ้า มีโยมเก็บอารมณ์นอนกุฏิหญ้าอยู่คนเดียว ท่านก็จะมีวิธีการพูด "ไปนอนเป็นเพื่อนเขาหน่อยนะ" เป็นต้น หรือบางคนก็ใช้ผ้ากั้นตรงที่นอนหมดเลย ท่านก็ให้เอาออกให้ต่อสู้กับความมืดตรงๆ สุดท้ายคนนั้นก็เลยหายกลัวไปเองโดยไม่รู้ตัว ทำตัวง่ายๆ อยู่ไหนก็ได้ นอนไหนก็ได้ นอนคนเดียวก็ได้ นอนร่วมกับหมู่คณะก็ไม่เป็นไร
        
         สำหรับผู้มาใหม่ หลวงตาก็ต้องศึกษาและเรียนรู้แต่ละคนเหมือนกัน นิสัยใจคอเป็นอย่างไร จากการพูดคุยหรือบางทีก็ให้ขับรถพาไปที่ไหน ก็จะได้เรียนรู้เขารู้เรา บางคนเคยฝึกมาแล้วไปถึงวัดจะขอเก็บอารมณ์เลย ทำเป็นผู้รู้โดยหลวงตายังไม่สั่ง ท่านจะปล่อยเลยให้เรียนรู้เองไม่สนใจดูแลเท่าใครๆ แต่หากคนใดมาอยู่สักหน่อยให้พอรู้จักกันสัก 2-3 วันแล้วค่อยปรึกษาท่านเรื่องเก็บอารมณ์ ท่านก็จะให้ความสนใจดี บางช่วงมีคนมีชื่อเสียง หรือมีผู้หลักผู้ใหญ่มาปฏิบัติที่วัด ท่านจะให้การเอาใจใส่เหมือนกันทุกคน เคยได้ยินท่านพูดว่า "จะเป็นไผมาจากไสอาตมากะบ่งึด " (หลวงตาจะสั่งสอนทุกคนเหมือนกันหมด )
        
         มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลวงตาเทศน์ถึงอุบายในการสอนธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านจะเลือกว่าจะไปสอนใครก่อน เช่น ไปสอนพระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์ หรือไปสอนชฎิลสามพี่น้อง บูชาไฟก่อนคนอื่น เพราะถ้าท่านเหล่านี้เข้าใจ คนอื่นๆ ก็จะตามมาเอง และหลวงตาได้เทศน์ต่อเรื่องการสอนคนให้ดับทุกข์ ท่านเล่าถึงนายโคบาล (ผู้เลี้ยงโค) การที่จะพาโคข้ามน้ำ ท่านถามพวกเราว่าจะเอาใครข้ามไปก่อน ? .. จะเอาพ่อ แม่ ลูก ตัวที่ตั้งครรภ์ ตัวแก่ ตัวหนุ่ม ตัวผู้ หรือตัวเมีย .. ท่านอาจารย์โคทม(รศ.ดร.โคทม อารียา) นั่งสร้างจังหวะฟังอยู่ด้วย ท่านพูดขึ้นว่า "จะเอาโคตัวไหนไปก็ช่างเถอะ แต่อย่าลืมเอาโคตัวนี้ไปด้วยนะหลวงตา " ผู้เขียนไม่นึกว่าท่านจะมีอารมณ์ขัน เป็นกันเอง ในความไม่มีตัวตนของท่าน หลวงตาเคยเล่าถึงการปฏิบัติของท่านบ่อยๆ ว่าท่านมีความก้าวหน้าเรื่อยๆ ก็ขออนุโมทนาสาธุ.. หลวงตาเคยเปิด VCD การปฏิบัติธรรมของท่านที่หลวงตาบันทึกไว้ให้พวกเราดู ท่านเล่าว่าหลวงตาเคยว่าท่านเป็นประเภท "อินทรีย์อ่อน แก่สังขาร วิญญาณต่ำ" ท่านไม่โกรธกลับตั้งใจปฏิบัติขนาดถึงเวลารถมารับไปสนามบินยังนั่งสร้างจังหวะอยู่เลย ไม่ยอมหยุด
        
          มีอีกท่านหนึ่งเป็นระดับศาสตราจารย์ นายแพทย์ เคยปฏิบัติวิธีการอื่นมานาน หลวงตาจะให้ครูบาที่อ่อนที่สุดเป็นผู้ดูแล โดยไม่บอกว่าท่านเป็นใคร หรือบางทีจะให้เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ปฏิบัติได้ดีไปเดินจงกรมเป็นเพื่อน บางทีเด็กก็จะเป็นคนให้สติผู้ใหญ่ก็มีเช่น "ลุงๆ นิวรณ์เข้าแล้ว ให้เดินแรงๆ อย่างผมนี่ " ท่านอายเด็กๆ เลยขยันปฏิบัติเอง จนเกิดปีติน้ำตาไหล ท่านได้มาเล่าให้หลวงตาฟังว่า รู้ว่าที่ผ่านมา ทำเพื่อคนอื่นมาตลอด พึ่งได้ทำให้ตัวเองวันนี้ " เวลาสอบอารมณ์หมู่ บางทีก็สอบรวมเลยทั้งผู้ใหญ่ เด็ก ผู้เก่า ผู้ใหม่ ทำให้ผู้มาปฏิบัติได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน.    

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น