ค่ายธุดงควัตร "ถ้ำแคน-ภูลังกา" อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย 6 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน 2547 สืบเนื่องมาจากเมื่อหลายปีที่แล้วได้เคยแวะเวียนผ่านมาทางนี้และเผอิญได้มารู้จักสถานที่แห่งนี้เห็นว่ามีความสงบ สัปปายะ วิเวก เหมาะที่จะบำเพ็ญสมณธรรม คือตั้งอยู่ห่างไกลจากชุมชนหมู่บ้านประมาณ 2 ก.ม. มีป่าไม้ โขดหินหน้าผา ลำธาร และที่สำคัญคือมีน้ำซับไหลลงมาจากยอดเขาตลอดปี ที่นี่ดีไปอย่างคือไม่มีไฟฟ้าใช้ มีเนื้อที่ประมาณ 40ไร่ เป็นป่าอนุรักษ์ ขั้นกับเขตอุทยานแห่งชาติภูลังกา รู้จักกันในนาม “วัดถ้ำแคน” แต่ก็ไม่ค่อยมีภิกษุอยู่ประจำ ทราบมาว่ารอบๆ ภูลังกานี้มีวัดอยู่ประมาณไม่น้อยกว่า 20แห่ง วัดนี้อยู่ห่างจากวัดโสมพนัส 115 กิโลเมตร ก่อนหน้านี้เคยแวะมาแล้วครั้งหนึ่ง พบว่าหลวงปู่อ่อน เป็นผู้มาดูแลสถานที่อยู่ในขณะนั้น จึงเข้าไปกราบเรียนแจ้งความประสงค์ให้ท่านทราบว่า จะพาพระมาขอพักอาศัยสถานที่เป็นค่ายธุดงค์เพื่อปรารภความเพียรในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งท่านเองก็ได้อนุเคราะห์เป็นอย่างดี ดูท่านเงียบๆ ก็เลยอดถามไม่ได้ เพราะนี้คือปัญหาที่พบมากที่สุด และไม่น่าจะเกิดมีสำหรับในกลุ่มผู้ที่สมมติตนว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้ ได้กราบเรียนถามท่านไปว่า กราบขออโหสินะครับ ไม่ทราบว่าหลวงปู่อึดอัดเรื่องลัทธินิกายหรือเปล่าครับ ท่านตอบทันทีว่า โอ้.. ไม่เลย เรามีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ธรรมวินัยอันเดียวกัน เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน จะมัวมายึดถือให้มันหนักทำไม ผมเองก็เป็นพระที่เขาสมมติให้เหมือนกัน แต่พระแท้ ๆ เราต้องมาฝึกกันเอาเอง จะมาวันไหน ให้มาได้เลย…สาธุ.. ปลื้มใจกับพระแก่ศีลแก่ธรรมไม่ใช่แก่แดดแก่ลม … บ่อยครั้งที่เข้าไปในวัดป่าแล้วถูกมองด้วยท่าทีเย้ยหยันทำนองคนละฝูง..บวชที่ไหน วัดป่าหรือวัดบ้าน ธรรมยุตหรือมหานิกาย อยู่สายอาจารย์หรือหลวงพ่อองค์ไหน สายอีสานหรือภาคไหน ฯลฯ บ่อยครั้งที่สีผ้าที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ท่านมองเห็นว่าเราไม่เป็นพระ อย่าว่าแต่การแสดงความเคารพกราบไหว้ทำสามีจิกรรมที่บรรพชิตพึงกระทำต่อกันและกันเลย แม้แต่น้ำท่านก็ยังไม่ให้ดื่ม ทำนองพวกปลอมบวชเป็นลัทธินอกธรรมวินัยนี้อย่างนั้นแหละ.. เรื่องอย่างนี้เคยเจอตั้งแต่ครั้งเมื่อเป็นสามเณรไปหาปฏิบัติธรรมแล้ว แม้ปัจจุบันทิฏฐินี้ก็ยังเจริญเติบโตคงทนถาวร มีผู้สืบสานกันไม่ขาดสาย จะว่าไปข้อดีมันก็คงมี เพราะหาไม่แล้วมันคงไม่คงทนสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ คณะธุดงค์เราออกเดินทางจากวัดโสมพนัส เช้าวันที่ 6 พฤษภาคม 2547 ภิกษุ 14 รูป ชี 3 รูป ส่วนฆราวาสก็มาจากหลากหลายสาขาอาชีพทั้ง แพทย์ พยาบาล วิศวกร อาจารย์มหาวิทยาลัย ทนายความ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย แม่ค้าและเด็กวัด ซึ่งก็ตามกันเข้ามาปฏิบัติด้วยเป็นระยะ ๆ
ความตั้งใจของการเข้าค่ายธุดงค์ทุก ๆ ครั้งคือ 1.ศึกษาการเดินตามรอยชีวิตพระป่า 2.เจริญภาวนาให้ต่อเนื่อง 3.ละวางเรื่องทางโลก 4.แสวงหาภูมิธรรมกำหนดโชคชีวิตตน 5.อนุเคราะห์คนผู้มีใจใฝ่ธรรม ช่วงนี้เป็นต้นฤดูฝน บรรยากาศจึงไม่เหมือนค่ายฤดูหนาว ที่ปักกลด หรือค่ายพักแรมก็ให้แสวงหาเอาเองตามสะดวก เมื่อมีปัญหาค่อยว่ากันทีหลัง ซึ่งก็ได้ตามริมลำธารบ้าง หน้าผาบ้าง ริมชายป่าบ้าง หุบเขาบ้าง ส่วนอุบาสิกานั้นก็ให้อยู่ด้านล่าง เพราะสะดวกมีห้องพักอยู่ใกล้ครัว และมีพื้นที่ป่าปักกลดหรือเดินจงกรมได้ด้วย แสงสว่างก็ได้จากแสงจันทร์ แสงเทียน แสงไฟฉาย เรื่องสถานที่ตั้งค่าย ตลอดเวลา 1 เดือนนี้ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก เราจะอยู่เฉพาะเสนาสนะป่านี้เท่านั้นไม่มีการโยกย้าย คงเพราะเคยผ่านมาหลายค่าย ความชำนิชำนาญจึงถูกหยิบมาใช้อย่างแคล่วคล่อง แต่สิ่งที่ไม่อาจมองข้าม คือ ด้านหลังเป็นหน้าผาสูงประมาณ 200 เมตร ยาวตลอดแนว 2 – 5 ก.ม. เมื่อถูกฝนกัดเซาะอาจเกิดร่วงกลิ้งหล่นลงมาทับได้ เพราะเมื่อใดที่ฝนตกหนัก จนเกิดกระแสน้ำตกไหลอาบหน้าผาลงมาทันที ดูเป็นสายน้ำตกที่สูงมาก แต่จะอยู่ได้ประมาณ 1 วันก็จะหดหายไป ช่วงที่ฝนเริ่มหยุดตกใหม่ ๆ จะมีแดดอ่อน ๆ กลุ่มปุยเมฆเกาะกลุ่มไหลผ่านหน้าผา ละอองน้ำบางเบา จะปรากฏรุ้งกินน้ำสีเข้มโค้งตัดข้ามภูเขาอยู่เสมอ บิณฑบาตรอยู่ 6 วัน หลังจากนั้นก็ให้เพื่อนสหธรรมิกเข้าเก็บอารมณ์เข้ม ลักษณะเหมือนเข้าปริวาสของผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เป็นการปรารภความเพียร เพื่อให้สติรอบจัดรู้เท่าทันการปรุงแต่งให้ต่อเนื่อง งดกิจวัตรทั่วไป เช่น บิณฑบาต ปัดกวาดอาวาส ทำวัตรเช้า – เย็น แต่ทำปาติโมกข์ในวันพระ งดรับทำสามีจิกรรมจากเพื่อนพรหมจรรย์ ห้ามพูดคุย จะมีบ้างก็แต่พระพี่เลี้ยงผู้คอยสอบอารมณ์เป็นครั้งคราว จนกว่าจะครบกำหนดออกจากค่าย เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 10 – 15 วัน ก็จะมีการประชุมประเมินผลอย่างเป็นทางการด้วยการรายงานสดต่อหน้าสงฆ์ เรียกว่า “การแสดงอาบัติธรรม” และนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการ “รายงานอารมณ์” เป็นความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละบุคคล “การนำเสนอในที่นี้ไม่ได้หมายความว่านี่คือสูตรสำเร็จ นี่คือความถูกต้อง หรือว่านี้คือความผิดพลาด ไม่ใช่การยกย่องหรือจ้องจับผิดอะไรใคร เป็นข้อมูลสดที่ต้องการให้ศึกษาและรอการพิสูจน์ ตรวจสอบหรือท้วงติงจากท่านผู้รู้ทั้งหลาย” ดังนั้นคำว่าใช่หรือไม่ใช่จึงยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในขณะนี้ รู้ เห็น เป็น มี ด้วยปัญญา “การปล่อยวาง การสิ้นเชื้อการปรุงแต่งจิตด้วยอุปาทานในระดับต่าง ๆ อย่างไม่กำเริบ” น่าจะเป็นเครื่องมือตรวจสอบจิตเราอยู่เสมอ บูรพาจารย์ผู้รู้เรื่องนี้ดีเช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ปรมาจารย์วิปัสสนาสายพระป่า “ผู้มีปฏิปทายอดเยี่ยม” ได้กล่าวเตือนผู้ปฏิบัติตามเอาไว้ว่า “ถ้าเมื่อใดตากระทบรูปแล้วยังมีการเสวยอยู่ แม้จะปฏิบัติอะไรอย่างไร ก็ยังไม่ชื่อว่าถูกต้อง” หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ปรมาจารย์แห่งการเจริญสติ “เซ็นแห่งสยาม” กล่าวว่า “ถ้าอายตนะยังไม่ถูกตัด (ด้วยวิปัสสนาญาน) จิตยังถูกปรุงแต่งอยู่ มันยังเชื่อมกันได้อยู่ ยังไม่ได้เห็นอาการขาดสะบั้นลงของทุกข์ ก็ชื่อว่ายังไม่เข้าถึงจุดที่น่าไว้วางใจได้“ ด้วยหวังจะให้ข้อมูลทั้งหลายนี้เป็นสารสื่อความหมายกับญาติธรรม ผู้กำลังเดินทางสายนี้อยู่ในขณะนี้ ทางของจิตที่ต้องเดินด้วยปัญญา ปัญญาที่ต้องได้มาด้วยการต่อสู้ เรียนรู้และปล่อยวาง ประสบการณ์เล็กน้อยเหล่านี้อาจเป็นกำลังใจได้ในยามท้อแท้สิ้นหวัง หรืออาจเป็นเพื่อนเตือนสติได้ในยามฮึกเหิมเกินงาม ความผิดพลาดพลั้งเผลอคงมี เหตุเพราะสติปัญญาน้อย หวังปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลายชี้แนะช่วยนำ.
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น